ไม่แพ้ แม้เจ็บป่วย



มื่อวันที่ชีวิตเดินเข้ามาถึงจุดเปลี่ยน
จนบางครั้งคนเราไม่ทันได้ตระเตรียมหัวใจ
ความสุข ความทุกข์ ไม่มีใครรู้ว่าจะมาเมื่อไหร่
จะยอมรับความจริงที่เจอได้แค่ไหน
เพราะชีวิตคือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป
มีสุขสมมีผิดหวัง หัวเราะหรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน
อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน
ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
(เพลง Live & Learn เนื้อร้องและทำนองโดย คุณบอย โกสิยพงษ์)

บทเพลงโด่งดังข้างต้นกำลังบอกเราถึงความไม่แน่นอนของชีวิต  เราไม่รู้ว่าวันไหนจะพบความสุข วันไหนจะประสบความทุกข์  เราควรจะเตรียมใจเผชิญกับสิ่งที่ไม่คาดฝันอย่างมีสติ

เช่นเดียวกันกับเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งเป็นเรื่องไม่แน่นอนที่อยู่เคียงคู่กับมนุษย์มาตั้งแต่เกิด  ยิ่งในยามที่โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว  โรคร้ายนานาชนิดก็ทวีมากขึ้น  มันสามารถทำลายทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยและคนใกล้ชิดอย่างไม่ทันตั้งตัว ในยามนั้น มีคำถามมากมายที่เข้ามาในความคิดของเรา

ทำไมต้องเป็นฉัน ?
ฉันกำลังจะตายหรือนี่ ?
ครอบครัวจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีฉัน ?
ใครจะช่วยดูแลฉันเมื่อฉันเจ็บหนัก ?
ฉันจะอยู่ในสภาพไหนในวันสุดท้าย ?
คนจะรังเกียจฉันไหม ?
เมื่อตายแล้ว ฉันจะไปที่ไหน ?

ร้อยแปดคำถามหลั่งไหลเข้ามาในความคิดของเราขณะถูกคุกคามด้วยโรคร้าย ความกลัวและความวิตกกังวลในจิตใจอาจทำให้อาการเจ็บป่วยทางกายทรุดลงไปอีก  ผู้จัดทำหนังสือเล่มนี้ได้รู้จักกับหลายครอบครัวที่เผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บขั้นร้ายแรง และเราได้รับอนุญาตให้ถ่ายทอดเรื่องราวของเขาเพื่อให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่กำลังเผชิญสภาวะเดียวกัน


เรื่องของ "ดาว"

"ดาว"(นามสมมุติ)  คุณแม่สาวสวยวัย 40 ปี และ "น้องบอล" ลูกชายคนเล็ก  ทั้งคู่ติดเชื้อ HIV จากพ่อของน้องบอล  ชีวิตของทั้งสองคนเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายที่ไม่รู้ว่าจะขาดลงในวันใด  แต่ทั้งดาวและลูกได้ผ่านวันอันเลวร้ายที่แสนเจ็บปวดทุกข์ทรมานมาได้ และมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งอย่างอัศจรรย์

"น้องบอล" เริ่มแสดงอาการเมื่ออายุ 2 ขวบ 8 เดือน และอยู่ในสภาพผอมแห้ง มีแต่หนังหุ้มกระดูก เลือดไหลออกจากปากเพราะเป็นเชื้อรา  ด้านนอกริมฝีปากเต็มไปด้วยแผล ทานอาหารไม่ได้ และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ  เมื่อรักษาไปได้ระยะหนึ่ง ทีมแพทย์บอกว่า น้องบอลจะมีชีวิตอยู่อีกไม่เกิน 3 วันเท่านั้น  ทุกอย่างดูสิ้นหวัง หัวใจของแม่จะแตกสลาย ความหวังสุดท้ายก็มาถึงทันเวลา...เมื่อดาวได้รับการแนะนำให้รู้จักพระเจ้าและเต็มใจให้มีการอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อเธอกับลูก  แล้วการอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น

ปี 2007 น้องบอลอายุครบ 6 ขวบ จาก 3 วัน ผ่านไป 3 ปี น้องบอลแข็งแรง  น้ำหนัก 18 กิโลกรัมที่สมส่วนและสมวัย  ผิวพรรณสดใสไม่มีริ้วรอย  ฉลาดหลักแหลม  พูดจาฉาดฉาน และว่องไว จนแทบจะคิดไม่ออกเลยว่า เด็กคนนี้เฉียดความตายมาแล้วอย่างน่าเวทนา  ผลการวัดปริมาณไวรัสในเลือดหาไม่พบแล้ว  ขณะที่ปริมาณเม็ดเลือดขาวก็เพิ่มขึ้น จนปัจจุบันนับได้ถึง 1,000 กว่า
น้องบอลบอกว่า "พระเยซูช่วยหนูเอาไว้  หนูไม่สบาย  หนูไปนอนตรงนั้น ตอนนั้นเจ็บแขน เจ็บขา เจ็บปาก ปากมันลอกออกมา มีเลือดแดงออกมา...ตอนนั้น 2 ขวบ ฉีดยาเจ็บมาก  พระเยซูอยู่ใกล้หนู  หนู้เห็นพระเยซู  ฝันเห็นพระเยซูมาหา  พระเยซูใส่เสื้อสีขาว  หนูจำหน้าพระเยซูได้  จำได้จากบนสวรรค์  หนูเห็นจากรูป  พระเยซูก็อธิษฐานให้หนูหายเร็ว ๆ ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล  พระเยซูไม่ดุ  ตอนนี้ไม่เจ็บแล้ว  หนูรักพระเยซู เพราะว่าพระเยซูทำให้หนูฟื้นมาได้  เมื่อก่อนหนูแขนเล็กนิดเดียว  พระเยซูให้หนูมีเนื้อขึ้นมา"

ดาวกล่าวว่า "อยากจะบอกกับเพื่อน ๆ ผู้ติดเชื้อว่า อย่าท้อแท้  ความวิตกและความเครียดจะยิ่งทำให้อาการแย่ลงไปอีก  แม้เราจะมีเชื้อนี้อยู่ในตัว  เราก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานถึง 20-30 ปี  โรคนี้แพ้กำลังใจ  เราต้องพยายามที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อคนที่เรารัก เช่น พ่อ แม่ และลูก  ที่สำคัญที่สุด ดาวอยากให้ทุกคนได้รู้จักพระเจ้าเป็นการส่วนตัวเหมือนดาว  เพราะพระเจ้าเป็นพระเจ้าเหนือปัญหาทั้งปวง เพราะดาวได้รู้จักพระเจ้า  ดาวจึงได้พบกับความรักแท้  ความเอื้ออาทร  และมีที่พักพิงในชีวิต และโรคร้ายก็กลายเป็นเรื่องเล็ก


เรื่องของเอิร์ธ

"วันเฉลิม สารกิติพันธ์ (เอิร์ธ)" เด็กหนุ่มวัย 15 ปี ผู้เป็นที่รักของครอบครัว เพื่อน ๆ และคุณครู  เขาล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งในสมอง  เอิร์ธต้องได้รับการผ่าตัดสมองถึงสองครั้ง  หลังการผ่าตัดแต่ละครั้ง  เอิร์ธต้องต่อสู้กับสภาวะความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ทั้งด้านการมองเห็น  การได้ยิน  การรับประทานอาหาร และการเขียนหนังสือ  แต่กระนั้น ด้วยความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า เอิร์ธเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ด้วยความเข้มแข็งและกล้าหาญ  ความเจ็บป่วยของเอิร์ธทำให้คุณพ่อเลิกจากสิ่งมึนเมาทุกชนิด เลิกเที่ยวเตร่ มีจิตใจสงบและหันมาหาพระเจ้าอย่างจริงจัง  ส่วนคุณแม่และพี่ชายก็ตัดสินใจเชื่อไว้วางใจพระเจ้า เป็นความสุขที่เกิดขึ้นท่ามกลางความทุกข์  เอิร์ธได้บอกกับพ่อแม่ว่า "ถ้าพระเจ้ามีพระประสงค์ให้เอิร์ธมีชีวิตอยู่ในโลกนี้   เอิร์ธก็จะอยู่และรับใช้พระเจ้า  ถ้าหากพระเจ้าจะให้เอิร์ธจากโลกนี้ไป  เอิร์ธก็จะไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์  ไม่ว่าเอิร์ธจะเป็นหรือตาย เอิร์ธก็จะได้อยู่กับพระเจ้าเสมอ"

เอิร์ธจากไปอยู่กับพระเจ้าเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์  ค.ศ. 2000 ด้วยใบหน้าที่สดใส  เพราะเอิร์ธมั่นใจว่า พระเจ้ารอเขาอยู่และเขาก็จะได้พบกับครอบครัวของเขาอีกครั้งบนสวรรค์  เอิร์ธเป็นเพียงผู้ที่เดินทางล่วงหน้าไปก่อนคนอื่น ๆ ในครอบครัวเท่านั้น

ชีวิตของเอิร์ธยืนยันได้ว่าความตายฝ่ายร่างกายไม่ใช่จุดจบที่น่าสะพรึงกลัวและไม่ใช่ความพ่ายแพ้ของชีวิต  แต่ความตายต่างหากที่เป็นผู้แพ้ เพราะการเชื่อและไว้วางใจในพระเจ้า ทำให้เอิร์ธได้รับชีวิตใหม่ที่ได้อยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์ตลอดไป


ถ้าพระเจ้ารักฉัน ทำไมต้องให้ฉันเจ็บป่วยเช่นนี้ด้วย

หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่าตนทำอะไรผิด จึงต้องมาเจ็บป่วยอย่างนั้น  พระคัมภีร์ได้บันทึกเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าและมาบังเกิดเป็นมนุษย์  พระเยซูทรงเห็นใจคนเจ็บป่วย  มีคนจำนวนมากที่ทุกข์ทรมานด้วยความเจ็บป่วยและความพิการได้มาหาพระองค์  ทั้งคนตาบอด  คนแขนขาพิการ  คนเป็นง่อย  ผู้หญิงที่ตกเลือดเป็นเวลา 12 ปี  คนเป็นโรคลมบ้าหมู  เด็กที่เป็นไข้หนัก  หรือคนที่เป็นโรคผิวหนังร้ายแรง
พระเยซูทรงสงสารพวกเขาและให้เวลาเพื่อช่วยเหลือเขา  พระองค์จับมือคนที่เดินไม่ได้และพยุงให้เขาลุกขึ้นเดิน  พระองค์ปลอบใจเขาเหล่านั้นให้มีความหวังและกำลังใจ  ให้เขาเห็นคุณค่าและศักดิ์ศรีของตนเอง  แท้จริงแล้วแม้พระองค์เองจะเป็นพระเจ้า  พระองค์ก็คุ้นเคยกับความเจ็บปวด  และที่ไม้กางเขนนั้นพระองค์ทรงรับความเจ็บปวดทรมานถึงที่สุดดังที่บันทึกไว้ว่า

ท่าน(พระเยซู)ได้ถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอดทิ้ง
เป็นคนที่รับความเจ็บปวด และคุ้นเคยกับความเจ็บไข้
และดังผู้หนึ่งซึ่งคนทนมองดูไม่ได้
ท่านถูกดูหมิ่น และเราทั้งหลายไม่ได้นับถือท่าน
แน่ทีเดียวท่านได้แบกความเจ็บไข้ของเราทั้งหลาย
และหอบความเจ็บปวดของเราไป
กระนั้นเราทั้งหลายก็ยังถือว่าท่านถูกตี
คือพระเจ้าทรงโบยตีและข่มใจ
(อิสยาห์ 53:3-4)

ความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าไม่รักเรา  หรือเราถูกพระเจ้าลงโทษ  แม้แต่ผู้ที่เชื่อไว้วางใจในพระเจ้าก็ยังพบกับความเจ็บป่วยร้ายแรงได้ แต่ในเวลาเช่นนั้นกลับเป็นเวลาที่ยืนยันว่าพระเจ้าทรงห่วงใยและสำแดงให้เรารู้อย่างแน่ชัดว่าพระองค์ไม่เคยทอดทิ้งเราเลย  พระองค์ไม่ได้ปล่อยให้เราเผชิญกับมันเพียงฝ่ายเดียว  พระองค์อยู่กับเรา เจ็บด้วยกันกับเรา  หลายคนได้พบว่าท่ามกลางความเจ็บป่วยที่เขาประสบอยู่  เขาได้สัมผัสกับการช่วยเหลือพิเศษจากพระเจ้า  ทำให้เขามีกำลังใจที่จะต่อสู้ต่อไป  ร่างกายที่อ่อนแอเจ็บไข้ของเขากลับทำประโยชน์ให้กับคนรอบข้างและสังคมได้อย่างมากมาย  เขาสามารถเข้าใจและให้กำลังใจกับคนที่ต้องเผชิญสิ่งเดียวกับเขา


พระเจ้าให้ความมั่นใจแก่เรา

"แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช
ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ
เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์..."
(สดุดี 23:4)

"เมื่อเขานอนเจ็บ  พระเจ้าทรงค้ำจุนเขา
เมื่อเขาป่วยไข้ พระองค์ทรงรักษาความเจ็บไข้ทั้งสิ้นของเขาให้หาย"
(สดุดี 41:3)


"แล้วฉันจะทำอย่างไรดี"
สิ่งแรกคือยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น ตั้งสติของคุณให้มั่นคง แม้การยอมรับความจริงนั้นจะทำให้คุณเจ็บปวด แต่ก็น้อยกว่าการหลอกตนเอง

ต่อมาต้องรวบรวมกำลังใจ เพื่อตั้งรับกับโรคร้ายที่คุณเผชิญอยู่ อย่าปิดกั้นตนเอง แต่ควรบอกกับญาติสนิท มิตรที่ใกล้ชิดว่าคุณกำลังเผชิญกับอะไรอยู่  การที่คุณเปิดโอกาสให้เขาได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคุณในช่วงเวลานี้  คุณอาจจะพบว่าญาติและเพื่อนสนิทของคุณเข้าใจและให้กำลังใจคุณได้ดีกว่าที่คุณคิดเสียอีก

ไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาและทราบวิธีดูแลตนเองอย่างถูกต้อง เพื่อจะใช้ชีวิตอย่างรู้เท่าทันโรคนั้น การไปพบแพทย์ตามนัดก็เป็นสิ่งสำคัญด้วยเช่นกัน

หาโอกาสคุยกับคนที่เผชิญปัญหาเช่นเดียวกับคุณ ให้กำลังใจกันและกัน ซึ่งคุณจะพบว่าเมื่อคุณสนใจช่วยเหลือผู้อื่น  ความกังวลใจเกี่ยวกับตนเองก็จะลดน้อยลง

นอกจากนี้ คุณสามารถพูดกับพระเจ้าได้ แม้คุณจะยังไม่รู้จักพระองค์ก็ตาม  พระองค์พร้อมที่จะรับฟังความทุกข์ของคุณ ยิ่งกว่านั้นพระองค์พร้อมที่จะช่วยคุณและจะนำคุณให้ผ่านวันเวลาเหล่านั้นไป  คุณสามารถขอให้พระเจ้าประทานกำลังใจที่เข้มแข็ง  เปลี่ยนความทุกข์ใจเป็นความหวังใจในชีวิต และเปลี่ยนความคิดในทางลบต่อตนเองเป็นความคิดในทางบวก...แน่นอน ที่ร่างกายของเราจะต้องเสื่อมสลายไปด้วย แม้การมีชีวิตอยู่ในโลกนี้จะสำคัญที่สุดสำหรับเราในเวลานี้  แต่จิตวิญญาณของเราจะไม่สูญสลายไปด้วย  แม้การมีชีวิตอยู่ในโลกนี้จะสำคัญที่สุดสำหรับเราในเวลานี้  แต่ชีวิตหลังความตายก็มีจริงและเป็นเรื่องสำคัญซึ่งเราไม่เคยละเลย

"เพราะเขาจะได้ประโยชน์อะไร
ถ้าได้สิ่งของหมดทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตของตน? 
หรือคนนั้นจะนำอะไรไปแลกชีวิตของตนกลับคืนมา?"
(มัทธิว 16:26)

“เพราะเหตุนี้ เราบอกท่านทั้งหลายว่า 
อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม
และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม
ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารไม่ใช่หรือ?
และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มไม่ใช่หรือ?
จงดูนกทั้งหลายบนฟ้า พวกมันไม่ได้หว่าน ไม่ได้เกี่ยว ไม่ได้รวบรวมไว้ในยุ้งฉาง
แต่พระบิดาของพวกท่าน ผู้สถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงพวกมันไว้
ท่านไม่ประเสริฐกว่าพวกมันหรือ?
มีใครในพวกท่านที่โดยความกระวนกระวาย
สามารถต่ออายุของตนให้ยืนนานขึ้นอีกนิดหนึ่งได้"
(มัทธิว 6:25-27)

“เพราะฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงวันพรุ่งนี้ 
เพราะว่าพรุ่งนี้ก็มีเรื่องกระวนกระวายของมันเอง 
แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว"
(มัทธิว 6:34)

-------
จากหนังสือ "ดูเหมือนแพ้ที่แท้คือชนะ" หน้า 16-23 โดย สมาคมพระคริสตธรรมไทย