อยู่อย่างสันติในโลกเครียด ๆ


 “ยอห์น.14:27 --- เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย   สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น   เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้   อย่าให้ใจของท่านวิตก   และอย่ากลัวเลย”
ใคร ๆ ก็อยากมีความสุขกันทั้งนั้น เช่น นักธุรกิจ พ่อค้า แม่ค้า นักศึกษา นักเรียน  ทุก ๆ คนต่างก็อยากมีความสุขทั้งนั้น  แต่แปลกตรงที่เราอาจพบความเครียดมากกว่าความสุข  บางครั้งเครียดมากจนเราต้องพูดว่า

- ฉันไม่เอาอะไรซักอย่างแล้ว / จบกัน / ฉันมันก็แค่... / ฉันจนปัญญา / อยากหนีไปไกล ๆ / อยากลาออก ...ฯลฯ

บางครั้งเราบ่นแบบนี้บ่อยมากจนกลายเป็นกิจวัตร


ความเครียดคือ ความจริงอันเลวร้ายของชีวิตในโลกปัจจุบัน  ใคร ๆ ก็อยู่ภายใต้ความเครียดกันทั้งนั้น  ยาพาราขายดีมาก (อะไร ๆ ก็กินยาพารา  รักษาได้ทุกโรค) ยากล่อมประสาทก็ขายดี  และหนังสือที่พูดถึงเรื่องความสุขก็เริ่มขายดี (7-11 มีเยอะ)  มีคำกล่าวไว้จนติดหูว่า “เครียดมากก็ไม่ดี” ...ทุกคนก็รู้ว่าไม่ดี  รู้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว  กษัตริย์ซาโลมอนก็เขียนไว้ว่า

สุภาษิต 17:22: ใจร่าเริงเป็นยาอย่างดี แต่จิตใจที่หมดมานะทำให้กระดูกแห้ง
พระคัมภีร์พูดเรื่องความเครียดไว้มาก แต่ในขณะเดียวกันก็พูดเรื่องการคลายเครียด หรือ สันติสุขในจิตใจด้วย

พระคัมภีร์กล่าวถึง การมีสันติสุขในฝ่ายจิตวิญญาณ คือมีสันติสุขกับพระเจ้า

โรม 5:1 เหตุฉะนั้น   เมื่อเราได้เป็นคนชอบธรรมเพราะความเชื่อแล้ว   เราจึงมีสันติสุขในพระเจ้า   ทางพระเยซูคริสตเจ้าของเรา

นี่คือรากฐานของสันติสุข  เราต้องมีสันติสุขกับพระเจ้าก่อน จึงจะมีสันติสุขแบบอื่น ๆ ได้   ผมหวังว่าทุกคนพบกับสันติสุขนี้แล้ว (หากท่านมีความเชื่อแท้) มีวิธีเดียวที่จะได้สันติสุขนี้มา คือความเชื่อในพระเยซูคริสต์  เมื่อเรามีสันติสุขในจิตใจแล้ว จากนั้นเราจึงมีสันติสุขในอารมณ์ของตนเองด้วย

“คส.3:15 จงให้สันติสุขของพระคริสต์ครองจิตใจของท่าน”  แม้ในยามที่ทุกสิ่งดูสับสนวุ่นวาย  บางครั้งเมื่อเรานอนลงจะหลับ แต่ความคิดกลับไม่ยอมหยุด คิด ๆ ๆ   ถ้าไม่มีสันติสุขในอารมณ์ ความคิดของเราก็ยังคงวิ่งไปวิ่งมา  บางทีร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าเสียงดัง ร้องเพลง  หน้าตายิ้มแย้ม  แต่ความเครียดก็ยังวนเวียนอยู่ในความคิด  ดังนั้นเราจำเป็นต้องมีสันติสุขในจิตวิญญาณและอารมณ์ของตนเองด้วย   นอกจากนี้แล้วเรายังต้องมีสันติสุขในด้านความสัมพันธ์ หรือ สันติสุขกับผู้อื่นด้วย

 “โรม 12:18 จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน” สันติสุขด้านความสัมพันธ์นี้ช่วยลดความขัดแย้งได้  ในบางครั้งความสัมพันธ์ก็เป็นต้นตอของความเครียดได้ เช่น การเข้ากับเพื่อนร่วมงาน  เจ้านาย  ครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนที่ รร  เราต้องจัดการความขัดแย้ง การแข่งขัน  และคำวิพากวิจารณ์อยู่เสมอ  สิ่งเหล่านี้อาจปล้นสันติสุขออกไปจากเราได้   แต่เราจะพบสันติสุขนั้นได้จริง ๆ หรือ ?  แล้วทำอย่างไรจะมีสันติสุข ?

 ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจในพระสัญญาเรื่องสันติสุขของพระเจ้าก่อน “ยน.14:27 --- เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย   สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น   เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้   อย่าให้ใจของท่านวิตก   และอย่ากลัวเลย”

พระคัมภีร์บอกอย่างชัดเจนว่า สันติสุขนี้พระเยซูเป็นผู้ “มอบ”ให้  เราไม่สามารถทำงานเพื่อให้ได้มา  เราไม่อาจหลอกตัวเองให้มีสันติสุขได้  ไม่อาจพากเพียรไขว่คว้า(สันติสุขแท้)จากที่อื่นได้ แต่เป็นสิ่งที่เราได้รับมาเฉย ๆ เป็นสันติสุขที่ไม่เหมือนโลกให้   สันติสุขของโลกเป็นสิ่งชั่วคราวเท่านั้น  ที่สำคัญสันติสุขของพระเจ้าไม่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์  สันติสุขของพระเจ้าทำให้จิตใจของเราสงบได้แม้ท่ามกลางปัญหา  ทีนี้เราจะได้สันติสุขนี้ได้อย่างไร


มี 5 ประการ ที่นำมาซึ่งสันติสุขแท้จากพระเจ้า

1. เชื่อฟังหลักการของพระเจ้าในพระคัมภีร์ คือ แค่ทำตามที่พระคัมภีร์บอก
(สดด199:165,167--- บุคคลเหล่านั้นที่รักพระธรรมของพระองค์มีสันติภาพใหญ่ยิ่ง ไม่มีสิ่งใดกระทำให้เขาสะดุดได้...จิตใจของข้าพระองค์ปฏิบัติตามบรรดาพระโอวาทของพระองค์  ข้าพระองค์รักพระโอวาทนั้นมากยิ่ง) ดังนั้นสันติสุขเกิดขึ้นเมื่อเรามีชีวิตติดสนิทกับพระเจ้า และทำตามที่พระองค์บอกให้ทำ

ตัวอย่างเช่น เหมือนเมื่อเราซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ผู้ผลิตก็จะมีคู่มือบอกวิธีการใช้ให้ถูกต้อง  เพื่อจะได้ยืดอายุการใช้งาน    ชีวิตของเราก็เช่นกัน ผู้ผลิตคือพระเจ้า และมีคู่มือการใช้ชีวิต ก็คือพระคัมภีร์   ดังนั้นพระคำของพระเจ้าคือคู่มือสำหรับการดำเนินชีวิตของเราในทุกๆ ด้าน     ถ้าเราเพิกเฉยไม่เชื่อฟัง เราก็ไม่มีสันติสุข   ดังนั้นให้เราดำเนินชีวิตตามคู่มือของพระเจ้า

2. ยอมรับการอภัยจากพระเจ้า 
  ความรู้สึกผิดเป็นตัวที่ทำลายสันติสุขมากที่สุดอันหนึ่ง  เมื่อรู้สึกผิด  เราถูกเรื่องราวในอดีตตามมาหลอกหลอน มีรากขมขื่น ซึมเศร้า เหมือนตกนรกทั้งเป็น   วิธีที่จะทำให้มีสันติสุขในใจได้ก็คือ การมีจิตสำนึกใสสะอาด  และมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ให้สิ่งนี้ได้  (มีคาห์ 7:18 ใครเล่าจะเป็นพระเจ้าเสมอเหมือนพระองค์ผู้ทรงยกโทษ และทรงให้อภัยการทรยศ แก่คนที่เหลืออยู่อันเป็นมรดกของพระองค์  พระองค์มิได้ทรงถือพระพิโรธเนืองนิตย์ เพราะว่าพระองค์ทรงพอพระทัยในความรักมั่นคง)  พระคัมภีร์ตอนนี้บอกเราว่า พระเจ้าเต็มใจที่จะชำระบาปของเรา  และ 1 ยน 1:9 “ถ้าเราสารภาพบาปของเราพระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น”  พระเจ้าพร้อมที่จะอภัยเสมอ  ถ้าเรายังมีรากขมขื่น  อดีตที่หลอกหลอน  หรือรู้สึกผิดกับบางสิ่งที่ทำให้เครียด  จัดการเลยครับ

3.จดจ่อว่าพระเจ้าอยู่กับเราเสมอ ถ้าต้องการสันติสุข เราต้องรู้ว่าพระเจ้าอยู่กับเราเสมอ  และถ้าเราไม่เคยตระหนักเช่นนี้ เราก็ต้องฝึกรับรู้ถึงการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า 1ยอห์น 3:24:ทุกคนที่ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ก็อยู่ในพระองค์   และพระองค์ทรงสถิตอยู่ในคนนั้น   เหตุฉะนี้เราจึงรู้ว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเราคือโดยพระวิญญาณ   ซึ่งพระองค์ทรงโปรดประทานแก่เรา  เราเลือกได้ว่าเราจะจดจ่อที่ปัญหาหรือจดจ่อที่พระเจ้า   ถ้าเรามองโลกรอบ ๆ ตัวเราจะทุกข์ใจ  ถ้ามองตัวเองก็จะหดหู่  แต่ถ้ามองดูที่พระเจ้า เราจะได้พักสงบ  สิ่งที่เราสนใจเป็นตัวกำหนดว่าเรามีสันติสุขมากน้อยแค่ไหน  ให้จดจ่อถึงการสถิตอยู่ของพระเจ้า  พระองค์อยู่ภายในเรา และสัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้งเรา  ในตัวของเรามีสัญญาณอย่างหนึ่งที่คอยเตือนเรา ก็คือ ความเครียดนั่นเอง  การเริ่มรู้สึกเครียดเป็นตัวชี้ว่า เราได้ละสายตาไปจากพระเจ้า ไปจดจ่อที่ปัญหา  เวลาเรามองปัญหาเราก็เครียด  เราต้องจำไว้ว่า ความเครียดเป็นวิธีการที่พระเจ้าเตือนให้เรามองที่พระองค์  สดด 46:10 จงนิ่งเสียและรู้เถิดว่าเราเป็นพระเจ้า  (ภาษาฮีบรูคือ "ปล่อยวาง ผ่อนคลาย”)  เนื่องจากปัญหาของเรามาจากการที่เรานั่งเฉย ๆ ไม่ได้   ทุกครั้งที่เรารู้สึกเครียด ลองนิ่ง ให้ใจของเราได้พักผ่อน เพราะการรีบเร่งนำไปสู่การสูญเสียมากกว่าผลดี

4.วางใจในพระประสงค์ของพระเจ้า  แม้ในขณะที่หลายอย่างดูไม่เข้าท่า แต่เราต้องวางใจในพระประสงค์ของพระเจ้า  สุภาษิต 3:5-6 จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น   พระคัมภีร์ตอนนี้บอกให้เรา ไว้วางใจ และเมื่อเราวางใจ พระเจ้าจะนำ   ... ทำไมเราต้องวางใจ  ...หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตของเราเราไม่สามารถควบคุมได้  แล้วจะทำอย่างไร? ก็ต้องวางใจ เพราะเราทำได้แค่นี้จริง ๆ  “อย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง” หมายถึง “อย่าพยายามหาคำตอบทุกอย่างให้ชีวิตด้วยตนเอง”  บ่อยครั้งที่เราพึ่งพาตนเอง  บางครั้งก็เสียเวลาและเสียพลังงานมากโดยเปล่าประโยชน์  เราพยายามแก้ปัญหาทุกอย่างตลอดเวลา  แต่พระเจ้าบอกให้เรา...ไว้วางใจในพระองค์เท่านั้น

ท่านเปาโลได้เรียนรู้บทเรียนนี้ และมีสันติสุขเพราะพระเจ้านำทางชีวิตของท่าน  แม้ถูกขังคุก ฟีลิปปี 4:12 ท่านยังเขียนว่า “ข้าพเจ้าได้เรียนรู้เคล็ดลับในการเผชิญความอิ่มท้องและความอดอยาก ความอุดมสมบูรณ์ และความขัดสนแล้ว” และท่านได้บอกถึงเคล็ดลับที่ท่านได้เรียนรู้ว่า ฟีลิปปี 4:13 “ข้าพเจ้าเผชิญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า”  เราเห็นได้ว่านี่เป็นสิ่งที่ท่านเปาโลได้เรียนรู้  โดยต้องไว้วางใจและยอมให้พระเจ้านำชีวิต ท่านมีสันติสุขที่แท้จริง

5.ขอสันติสุขของพระเจ้า  ถ้าเราอยากได้สันติสุขของพระเจ้า  เราต้อง “ขอ”  ฟีลิปปี 4.6-7 อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย   แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า   ด้วยการอธิษฐาน   การวิงวอน   กับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ   จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์   พระคัมภีร์ตอนนี้บอกเราอย่างชัดเจนตามลำดับคือ ต้องอธิษฐานก่อน จากนั้นจึงมีสันติสุข   เมื่อมีแรงกดดันเพิ่มขึ้น อย่าตื่นตระหนกตกใจ ...ให้อธิษฐาน! แล้วสันติสุขซึ่งเกินความเข้าใจจะเข้ามาในใจของเราอย่างอัศจรรย์  เมื่อแรงกดดันเพิ่มขึ้นและรู้สึกจะระเบิด  ให้เราเปลี่ยนความวิตกกังวลเป็นการอธิษฐาน 1 ปต. 5:7 จงละความกระวนกระวายของท่านไว้กับพระองค์   เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยท่านทั้งหลาย  จงวางมันไว้กับพระเจ้า! ถ้าเราระบายความเครียดกับใครบางคน  เขาอาจจะจะเครียดตามเราได้  แต่พระเจ้าจะไม่เครียดกับเรื่องของเรา  พระองค์รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเราอยู่แล้ว และยังไง ๆ พระเจ้าก็ยังรักเราอยู่ดี  และการอธิษฐานเป็นการบอกความในใจ  สิ่งที่รบกวนจิตใจของเราต่อพระเจ้า    ยน.14:1 พระเยซูตรัสว่า “อย่าให้ใจท่านทั้งหลายวิตกเลย   ท่านวางใจในพระเจ้า   จงวางใจในเราด้วย  ดังนั้น เราไม่มีทางที่จะพบสันติสุขแท้และยั่งยืนจนกว่าพระเยซูจะเข้ามาควบคุมชีวิตของเรา  จำไว้เสมอว่า “สันติสุขไม่ใช่ชีวิตที่ปราศจากปัญหา  แต่คือความรู้สึกสงบสุขท่ามกลางปัญหาร้ายในชีวิต”

ทุกวันนี้อะไรเป็นตัวที่ขัดขวางสันติสุขของเรา  หากเรารู้สึกผิดกับอะไรบางอย่างให้หันหน้าเข้าหาพระเจ้าและขอการยกโทษ  ความวิตกกังวล  การเงิน  การเรียน  การผ่าตัดไส้ติ่ง  หรือมีใครมาก่อกวน  อกหัก คนที่ยุ่งยาก  ฯลฯ ทั้งหมดนี้คุณคุยกับพระคริสต์ได้ทุกเรื่องที่รบกวนจิตใจคุณ

บางสิ่งเราสามารถเปลี่ยนได้  แต่บางสิ่งก็ยากเกินที่เราจะเปลี่ยนได้ด้วยกำลังของเราเอง

สิ่งใดที่เราเปลี่ยนได้ อธิษฐานขอความกล้าหาญ ขอให้พระเจ้านำเราที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้นให้ดีขึ้น

แต่สิ่งที่เราเปลี่ยนเองไม่ได้ ให้เราอธิษฐานขอพระเจ้าช่วยให้เรามีสันติสุขในใจให้ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น และมีความวางใจในพระองค์ และรอคอยให้พระเจ้าจัดการ

สิ่งที่วิเศษที่สุดจากคำอธิษฐานของเราก็คือ สันติสุข


-----------
สรุปจากหนังสือ "พลังเปลี่ยนชีวิต" หน้า 85-103 เขียนโดย ริค วอร์เรน