เขียนโดย Ekapan Charoenjittichai
"พระเยซูเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า"
ซึ่งเป็นการบิดเบือนศาสนาคริสต์อย่างรุนแรง
ก่อนอื่น ให้ท่านผู้อ่านได้ศึกษาเนื้อหาของบทความนี้ก่อน
โดยที่คำโต้แย้งจะอยู่ตรงท้ายบทความ
เพื่อจะพิสูจน์และชี้แจงให้ท่านผู้อ่านได้เห็นว่า
บทความนี้ เป็นเรื่องเท็จ
เพื่อจะพิสูจน์และชี้แจงให้ท่านผู้อ่านได้เห็นว่า
บทความนี้ เป็นเรื่องเท็จ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บทความเท็จที่บิดเบือนคริสตศาสนา ได้เขียนไว้ดังต่อไปนี้...
"พระเยซูเป็นศิษย์พระพุทธเจ้า
โดย พันเอก Henry Steel Olcott
และพระพลังโคทา อานันทะ ไมตรียา มหาเถระ ( ศรีลังกา)
ใครคือโจเซฟในศาสนาคริสต์
543 ปี หลัง พระพุทธเจ้าบรมศาสดา แห่ง พระพุทธศาสนา ทรงปรินิพาน ศาสนาคริสต์ จึงได้ถือกำเนิดขึ้นบนพื้นพิภพนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นในชมพูทวีป อันหมายรวมประเทศ ทั้งหลายในย่าน อินเดียไปจนจดลุ่มน้ำ ไทกริส ยูเฟติส นั้น ยังไม่ปรากฏว่ามี ศาสนาใด ในยุคนั้น ได้รับความศรัทธาจากมหาชน เท่ากับพระพุทธศาสนา แม้แต่ ศาสนาพราหมณ์ ที่เกิดขึ้นก่อน พุทธศาสนา ในยุคนั้น ก็ไม่มีการบันทึกคำสอนใด เป็นหลักฐาน คงมีการบอกต่อกัน ด้วยปาก ( มุขปาฐะ) ทั้งสิ้น และสั่งสอนกัน เฉพาะภายใน ตระกูลของพราหมณ์ มิได้แพร่หลายออกนอก โค-ต-ร-ตระกูลของตน คงมีแต่ พระพุทธศาสนา เท่านั้นที่แพร่หลาย ไร้วรรณะ เป็น ศาสนาแรกของโลก ที่ให้กำเนิดคำว่า “ สิทธิมนุษยชน "
493 ปีก่อนมีคริสตศาสนาเกิดขึ้นบนโลก โสเครติส ผู้แรกหนุ่ม ได้เดินทางมาศึกษายัง ตักกะศิลา ใน อินเดียตอนเหนือ และได ้ปาวารณาตน เป็นอุบาสกใน พุทธศาสนา ปฏิบัติทางสมาธิจิต จากพระอรหันต์ จากนั้น ได้เดินทางกลับไปยัง ประเทศกรีก (Jonia) ตั้งสำนักสอนวิชาการ และสำนักปฏิบัติธรรม ได้เข้ารับราชการ มีตำแหน่งเป็น อาจารย์สอนวิชาการ และ หลักธรรมอันลึกซึ้ง ในพระพุทธศาสนา ให้กับ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ (Alexzander The Great) ทำให้ต่อมาได้ กรีฑาทัพ มายังชมพูทวีป เพื่อศึกษา พระพุทธศาสนา ด้านพระอภิธรรม กับพระอริยบุคคล ตามที่ได้รับการแนะนำ จากโสเครติส ( จึงไม่ปรากฏการรบ ในการกรีฑาทัพครั้งนี้ แม้จะมีการเสนอ ให้เข้าตีชมพูทวีป จากแม่ทัพบางคนก็ตาม ) ทรงสิ้นพระชนม์ เสียก่อนที่จะได้ศึกษา ส่วน พระสหายสนิท และ แม่ทัพนายกองที่ติดตามมา เพื่อศึกษาธรรมะ เช่นเดียวกัน นั้น ยังมั่น ในเจตนาเดิม จึงไม่เดินทางกลับไปยัง ประเทศกรีก โดยต่างปราวรณาตัวเป็น อุบาสก นับถือพุทธศาสนา บ้างก็ออกบวช เป็นพระภิกษุ ในพุทธศาสนาศึกษา ในนาลันทา แล้วนำ พุทธศาสนา กลับไปเผยแผ่ในประเทศของตน จนมีวัด พุทธศาสนา เกิดขึ้นมากมายในแคว้นต่าง ๆ อันขึ้นตรงกับกรีก ทำให้ พุทธศาสนา ได้แพร่หลายเป็นหลายนิกาย กระจายไปทั่วตะวันออกกลาง
ก่อน คริสต์ศาสนนา ถือกำเหนิดขึ้น ในโลกมนุษย์ 243 ปี เมื่อ อโศกัน อีดิคส์ ( Asokan Edivts ) ( ชาวพุทธเรียกว่า พระเจ้าอโศกมหาราช..ผู้เรียบเรียง ) กล่าวว่า หลังจากได้ทำ สังคายนา หลักธรรมของ พระพุทธศาสนา โดยมี พระโมคคัลลีบุตรเถรเจ้า เป็นประธานสำเร็จลงแล้ว ก็ทรงส่ง พระสมณทูต เผยแพร่ศาสนาได้เดินทางไปประกาศ ศาสนา ถึงอาณาจักรของ พระเจ้าแอนโตนิโอคอสที่ ๒ ( Antiochos II ) ประเทศซีเรียปัจจุบัน ฟิลาเดปัส - ปาโตเลมี ( Piladepus-Ptolemy ) แห่งอียิปต์ อันติโกสัส โกนาตัส แห่งเมสิโดเนีย ( Antigonus Gonatus of Mesidonia ) และมากัสแห่งไซรีน ( Magas of Cyene )
การเผยแผ่ พระพุทธศาสนา ใน ครั้งนั้น ทำให้ชาวกรีก และชาวยุโรป เดินทางมาบวช เป็นพระภิกษุใน พุทธศาสนา สำเร็จเป็น พระอรหันต์ หลายองค์สำหรับที่ ชาวโลก รู้จักดีที่สุดคือ พระโยนะธรรมรักขิตะ ทั้งนี้เพราะท่านได้มีเขียนด้าน พุทธศาสตร์ ไว้หลายภาษา เช่น ภาษาสันสกฤต ภาษามคธ ภาษาคฤณ รวมทั้ง ท่านผู้นี้ได้แปล พระสูตร มากมายเป็นภาษากรีก จึงทำให้หลักธรรม ของพุทธศาสนา ได้ถูกปริวัติเป็น " ระบอบประชาธิปไตย " และ พุทธศาสนิก ได้กระจายออกไปทั่วตะวันออกกลาง แยกกลุ่ม นำธรรมมะ ออกไปปฏิบัติตามความถนัด และ ความเหมาะสมของพื้นที่ของตน ทำให้เกิดเป็น ศาสนาแอสเซเนส ( Essenes ) ซึ่งนิกายนี้ จะแยกตัวออกไปอยู่ตาม ป่า หรือที่วิเวก เพื่อประพฤติ พรหมจรรย์ และ ฝึกสมาธิจิต ตามหลักใน พระไตรปิฏก เช่น เดียวกัน ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ในยุคนั้น พระพุทธวัจนะ ได้เผยแพร่ และปริวัติไปทั่วชมพูทวีป ตะวันออกกลางอย่างทั่วถึง และต่อเนื่องรวมทั้งยังเข้าถึงชนทุกเผ่า และทุกชนชั้น พระภิกษุสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา จาริก เผยแพร่ธรรม และออกปฏิบัติจิต สั่งสอนศิษย์ ในท้องถิ่นทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาล พระอริยบุคล หลายท่านได้เขียนคัมภีร์ บรรจุไว้ตามถ้ำ ซึ่งเป็นที่ประพฤติปฏิบัติจิต ของท่านมากมายหลายพันแห่ง ทั่วดินแดนแถบนี้ จึงไม่มีศาสนาอื่นใด ทั้งสิ้นที่ยิ่งใหญ่ และมีผู้เลื่อมใสศรัทธา เท่ากับ พระพุทธศาสนา ในยุคนั้น
ได้มีผู้ สงสัยกันอยู่เสมอมาตลอดเกือบ 2000 ปี ถึงประวัติการเกิดของเยซูคริสต์ ชีวิตในวัยเด็ก และการเรียนการศึกษาที่ได้รับมานั้น มาจากสำนักใด ? และหลักธรรมที่เยซูได้นำมาสั่งสอนนั้นเป็นของศาสนาใด ?
การที่จะ สามารถ สืบค้นพิสูจน์ถึงข้อมูล ต้นตอดังกล่าว ให้ได้อย่างถูกต้องแน่ชัด และประกอบด้วย พยานหลักฐาน และเหตุผล อันพอเพียง ที่สามารถยืนยัน และเชื่อถือได้ ก่อนอื่น เราลองมาพิจารณา คำสอนที่ปรากฏ ในคัมภีร์ของคริสต์เตียน เองเลย เพื่อมิให้เป็นข้อกังขา แก่บุคคลที่ต้องการค้นคว้า แม้หาก ว่าผู้นั้นจะเป็นชาว คริสต์เตียน ผู้ใฝ่หาในความรู้ และประกอบไปด้วย ดวงจิตอันเต็มไปด้วย ความยุติธรรม จึงโปรดพิจารณา ข้อความทั้งหลาย อันปรากฏด้วยความ พิจารณาในคัมภีร์โบราณ แห่งวินัย โดยคริสต์ คาทอลิกเซ้นท์ ชื่อว่า " เจตสิก มิเนอิ ( Cheixi Minei) " หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่า คัมภีร์ " เบอร์ลัม ( Burlam ) " มีว่า
"...หลายศตวรรษนานมาแล้ว มีดินแดนที่รุ่งเรืองแห่งหนึ่ง เรียกว่า " ศรีอินเดีย (Serindia) "
ซึ่ง ได้ถูกปกครอง โดยพระราชาองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า " อะวีเนีย ( Avenir ) " พระราชโอรสของ พระองค์ทรงพระนามว่า " โจอาซาฟ ( Joasaphat ) " เป็นผู้มีมีคุณลักษณะ อันประเสริฐประจำพระองค์หลายประการ ซึ่งเป็นเครื่องหมาย อันแสดงถึงการพัฒนาอำนาจจิต ที่สูงส่ง พระราชาได้ ให้บรรดานักบวช และโหราจารย์ทั้งหลายมา ทำนายอนาคต ของราชโอรสของพระองค์ พวกเขาได้พิจารณา ลักษณะรูปร่าง ของราชโอรสแล้วทำนายว่า เจ้าชาย โจอาซาฟ ผู้นี้จะเป็นผู้ที่มีอำนาจ อย่างยิ่งใหญ่ มากกว่าบรรพบุรุษทั้งหลาย ของพระองค์ แต่มีโหราจารย์ผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ที่ได้เรียนรู้ วิชาโหราศาสตร์ เชี่-ย-วชาญ กว่าผู้อื่น ได้ทำนายว่า " เจ้าชาย โจอาซาฟ จะได้เป็นพระราชา แห่งอาณาจักร ทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ กว่าใคร ๆ โดยไม่มีขอบเขตจำกัด "
พระราชาอะวีเนีย ได้สร้างพระราชวัง ที่สวยสง่างามขึ้นแห่งหนึ่ง สำหรับ เจ้าชายโจอาซาฟ และได้ว่าจ้าง ชายหนุ่ม และสาวใช้ รูปร่างหน้าตางดงามหลายร้อยคน ให้อยู่ร่วมกับ เจ้าชาย ในพระราชวังแห่งนี้ โดยห้ามมิให้บุคคลผู้ใด จากภายนอก เข้าไปในพระราชวัง และห้ามมิให้มีการเอ่ยถึง ถ้อยคำที่เศร้าโศก เกี่ยวกับความตาย ฯลฯ ให้ เจ้าชายโจอาซาฟ ได้ยินเด็ดขาด พระราชา ย่อมสั่งให้เขาเหล่านั้น พูดแต่สิ่งที่เกี่ยวกับ ความสนุกสนาน สำราญเบิกบานใจ เท่านั้น
โดย การอาศัยอยู่ในพระราชวังแห่งนั้น เจ้าชาย ได้กลายเป็นผู้เชี่-ย-วชาญ ในศิลปวิทยาการ ทั้งหลายของอินเดีย และอาหรับ เมื่อย่างเข้าสู่วัยหนุ่ม เจ้าชายโจอาซาฟ ได้ตรัสถามผู้รับใช้ทั้งหลาย ของพระองค์ว่า ทำไม พระราชบิดา ของพระองค์ จึงจำกัดให้ พระองค์ อยู่แต่ในเฉพาะแต่ในเขตพระราชวัง เท่านั้น พวกมหาดเล็กทั้งหลาย จึงได้กราบทูลเรื่องที่ โหราจารย์ทำนายไว้ให้ เจ้าชายโจอาซาฟ ได้ทรงทราบ
หลัง จากนั้น ในโอกาสหนึ่ง เจ้าชายโจอาซาฟ จึงได้ทูลถามพระราชบิดาของพระองค์ว่า ทำไมพระองค์จึงถูกจำกัดให้อยู่แต่ในพระราชวัง พระราชาจึงตอบเจ้าชายโจอาซาฟว่า พระองค์ทำเช่นนั้น ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ เจ้าชาย จะต้องพบกับความทุกข์ เจ้าชายจึงกราบทูลถาม พระราชบิดาว่า ตัวความทุกข์นั้น หน้าตาเป็นอย่างไร ? พระราชาก็ไม่อาจที่จะ อธิบายเปรียบเทียบ ลักษณะตัวทุกข์ กับสิ่งที่เจ้าชายเห็น เฉพาะในปราสาทได้ เจ้าชายโจอาซาฟ จึงกราบทูลขออนุญาต ขอออกไปท่องเที่ยวชมภูมิประเทศข้างนอกปราสาทของพระองค์ พระราชาทรงอนุญาต และจัดเตรียมการทุกอย่างที่จำเป็น สำหรับการเดินทางให้ พร้อมนั้นได้ทรงสั่งการ ให้มหาดเล็กทั้งหลาย ให้พาเจ้าชายไปในสถานที่ซึ่ง มีแต่ความเจริญตาเจริญใจเท่านั้น ห้ามไม่ให้พาไปให้เห็นกับสิ่งที่เลวร้ายทั้งหลาย
"สิ่งนี้จะเกิดขึ้น กับทุก ๆ คน หรือว่าเกิดขึ้นกับมนุษย์บางคนเท่านั้น " เจ้าชายถาม พวกมหาดเล็กตอบว่า วันใดวันหนึ่ง ก็ต้องเกิดขึ้นกับ มนุษย์ทุกคน. "เราสามารถกำจัดเหตุการณ์อย่างนี้ ให้หมดไปได้หรือไม่ ? "เจ้าชายโจอาซาฟ ถาม "เป็นไปไม่ได้" นี้คือคำตอบของมหาดเล็ก ทั้งหลาย ทำให้ เจ้าชายโจอาซาฟ รู้สึกเศร้าใจมากสำหรับคำตอบนี้ จึงได้เสด็จกลับไปยัง พระราชวังอย่างเงียบเหงา และได้เริ่มคิดถึงความ ตาย และจุดหมายปลายทางหลัง ความตาย เจ้าชายโจอาซาฟ ได้ตรัสถามครูผู้สอน ของพระองค์ในพระราชวังว่า " มีใครรู้บ้างไหมว่า มีอะไรเกิดขึ้นภายหลังความตาย" ครูต่างตอบว่า ผู้ซึ่งมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งนี้ ได้ถูกพระบิดาของ พระองค์ ขับไล่ออกไปจากเมืองหมดแล้ว เจ้าชายโจอาซาฟ จึงกลายเป็นผู้ที่ กระวนกระวายใจ ไม่มีความสุขเพราะคำตอบนี้ พระองค์ได้เข้าใจแล้วว่า โลกนี้เต็มไปด้วยความ ทุกข์ยาก ทั้งหลาย และพระองค์กลายเป็น ผู้ที่ถูกครอบครอง ด้วยความทุกข์ระทมใจ
ด้วยความเมตตาสงสารของเทวดา จึงให้นักบวชผู้หนึ่ง มาหา เจ้าชายโจอาซาฟ นักบวชผู้นี้ เป็นผู้ที่มีบุญคุณยิ่งใหญ่ อาศัยอยู่ในอุทยานแห่งหนึ่ง ในศรีอินเดีย เขามีชื่อว่า "วาร์ลัม(Varlam)" ซึ่งใช้ชีวิตในลักษณะของ พ่อค้า เขาได้มาถึง ศรีอินเดีย โดยทางเรือ และได้บอกกับมหาดเล็กของ พระราชา ว่า เขามีอัญมณี ซึ่งมีฤทธิ์ที่สามารถ จะรักษาคน ตาบอด หูหนวก และ เป็นใบ้ ให้หายได้ เขาอยากจะมอบให้กับ เจ้าชายโจอาซาฟ เป็นการส่วนพระองค์ เขาได้ทำให้ พระราชา พอพระทัย ดังนั้น จึงได้รับพระราชานุญาต ให้ได้เข้าเฝ้า เจ้าชายโจอาซาฟ ได้ เมื่อ "นักบวชวาร์ลัม" ได้เข้าพบ เจ้าชาย เขาได้บรรยายให้ เจ้าชาย ฟังทุก ๆ ครั้ง และบ่อยขึ้น จนกระทั่ง เจ้าชายโจอาซาฟ เกิดความมั่นใจในพระองค์เอง วันหนึ่งเจ้าชายกล่าวว่า พระองค์ จะเสด็จไปที่ป่าแห่งหนึ่ง ที่พระองค์ ได้เคยไปมาก่อนแล้ว เจ้าชายโจอาซาฟ จึงได้เสด็จหนีออกจาก พระราชวังไป พร้อมกับนักบวชผู้นั้น โดยได้ขอแลก เปลี่ยนเครื่องทรงของพระองค์ กับเครื่องนุ่งห่มกับนักบวชนั้น แล้วพระองค์ ก็ได้แต่งกายด้วยเครื่องนุ่งห่ม ของนักบวชนั้น ซึ่งได้จากพระองค์ไป
วันหนึ่งขณะที่ เจ้าชายโจอาซาฟ กำลังทำสมาธิอยู่อย่างติดต่อกันนั้น พระองค์ได้มองเห็นสวรรค์ในสมาธิ พระองค์ได้ยินเสียงกล่าวว่า "ที่นั้นเป็นสถานที่สำหรับผู้ที่มีคุณงามความดีอาศัย"
สี่สิบวันหลัง จากที่ เจ้าชายโจอาซาฟ หนีออกจากพระราชวัง พระราชาอะวีเนียก็สิ้นพระชนม์ เจ้าชายโจอาซาฟ ได้ทราบข่าวก็ทรงเสด็จกลับมาภายใต้เครื่องนุ่งห่มของ นักบวช และได้ทำหนังสือมอบอำนาจ ยกราชสมบัต ิและราชบัลลังค์ ให้อยู่ในความดูแลของเหล่าอำมาตย์ของ พระองค์
เจ้าชายโจอาซาฟ ได้สละโลก และสมบัติโดยสิ้นเชิง โดยการออกบวชแล้ว ขณะที่อยู่ในป่า พระองค์ได้ทรงได้ใช้เวลา ไปในการทรมานตนด้วยความทุกข์ (อาจแปลได้ว่า "ทุกขรกิริยา"...ผู้เรียบเรียง) จนกระทั่งพลังจิตของ พระองค์ได้สูงขึ้น พระองค์ได้เห็นภาพนิมิต อันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ ในระยะช่วงเวลาดังกล่าวนี้ด้วยเ ช่นกัน เจ้าชายโจอาซาฟ ได้ขึ้นไปท่องเที่ยว ยังเมืองสวรรค์ที่พระองค์ ทรงเห็นมาก่อนนิมิตในสมาธิ เทพธิดาสององค์ ได้ถวายพวงมาลัย ที่ทรงคุณค่าสองพวงให้กับพระองค์ เจ้าชายโจอาซาฟ ถามว่านี้คืออะไร เทพธิดาทั้งสองจึงตอบว่า พวงมาลัยนี้ เป็นของเฉพาะสำหรับพระองค์เท่านั้น "พวงหนึ่งสำหรับปลดปล่อยสัตว์ทั้งหลาย ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง อีกพวงหนึ่ง สำหรับท่าน เพื่อบรรลุหนทาง อันนำไปสู่การสละความสุขทางโลก เพื่อบรรลุถึงภาวะสูงสุดเหนือโลก" เทพธิดาทั้งสองกล่าว........"
ข้อความดังกล่าว ที่ยกมาให้ได้ศึกษานี้ ได้นำมาจากคัมภีร์ โบราณแห่งวินัย โดยคริสต์ คาทอลิก เซ้นท์ ชื่อว่า "เจตสิก มิเนอิ ( Cheixi Minei ) " หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่า คัมภีร์ " เบอร์ลัม ( Burlam ) " ซึ่งได้กล่าวถึงประวัติของ โจอาซาฟ ( Joasaphat ) หรือ โจซาฟัต ( Josaphat ) ในคัมภีร์นี้ มีบทมนต์ที่ใช้ เจ้าชาย ใช้ท่องภาวนาว่า " ขอให้ จิต ( Soul ) ของเราจงหลุดพ้น จากความทุกข์ทั้งหลาย.."
เมื่อท่านได้ อ่านอย่างพิจารณาแล้ว คงมีความสงสัยเช่นกันว่า ศาสนิกคริสต์ คาทอลิกในยุคโบราณ ซึ่งผู้ที่เขียนจารึกไว้ในคัมภีร์นี้เป็นใคร ? แต่ย่อมต้องไม่มีจิตใจที่ไม่เอนเอียงเข้ากับฝ่ายใด
และเขาผู้จารึก คัมภีร์ นี้ย่อมรู้อยู่ว่าพวกเขาสวดมนต์ถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ เจ้าชายโจอาซาฟ ที่กล่าวถึงในคัมภีร์นั้น หากพิจารณาด้วยความยุติธรรม ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก เจ้าชายสิทธัตถะ ผู้ซึ่งตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
นักวิชาการผู้แสวงหาความจริง ทั้งหลายของโลก ซึ่งได้ค้นคว้าหาความจริง ของเรื่องนี้ ต่างพากันยอมรับความจริงแล้วว่า ชีวประวัติของพระโพธิสัตย์ ( Bodhi - Satta ) ซึ่งได้เล่าถ่ายทอดกันมาอย่างยาวนาน โดยอาศัยปากต่อปาก ( มุขปาฐะ ) เป็นไปได้ อาจมีการเพี้ยนไปจากรูปแบบเดิม บ้าง แต่ก็มีความบิดเบือน ไปเพียงเล็กน้อยในรูปแบบ และได้ถูก "คริสต์ คาทอลิก" หยิบเข้ามาใส่ ในคัมภีร์นี้ จนทำให้กลายมาเป็นชีวประวัติของ คริสต์ คาทอลิก เซ้นท์ ผู้หนึ่ง โดยการปรับเปลี่ยนชื่อ และเนื้อหาไปจากเดิม
ไม่ปรากฏ หลักฐานใด ๆ ทางประวัติศาสตร์หรือทางโบราณคดี ที่สามารถพิสูจน์ได้ อย่างเป็นรูปธรรมว่า มีพระราชา ที่อาศัยอยู่ในประเทศอินเดีย และมีพระนามว่า "อะวีเนียร์" ( Avinir ) แต่ทั้งนี้ก็มิได้เหนือบ่ากว่าแรง และความอุตสาหะ ของนักภาษาศาสตร์ ที่จะสามารถค้นหาราก ของ ภาษา ( Root ) เดิมนั้นได้ เพราะคำว่า อะวีเนียร์ " AVINIA " เป็นคำที่มาจากรากศัพท์เดิมว่า " อะวีนิชา ( AVENESHA ) " ซึ่งแปลว่า " มหาราชา " ( อินเดีย เรียกพระราชา แคว้นว่า "มหาราชา"...ผู้เรียบเรียง ) จึงยืนยันได้ว่าคำว่า "อะวีเนียร์" จึงเป็นคำเดียวกันกับคำว่า "มหาราชา" นั่นเอง
ต่อมาคือคำที่ใช้เรียกเจ้าชาย "โจอาอาฟ" นั้นมาจากที่ใด และมีความหมายอะไร ? สำหรับการดำเนินการส่วนนี้ เป็นผลงานวิจัยของท่านโปรเฟสเซอร์ ริส เดวิด (Prof. Lead David) ผู้เชี่-ย-วชาญทางด้านภาษาโบราณ ท่านได้กล่าวว่าใน ภาษาบาลี คำว่า "โพธิสัตตา ( Bodhisatta ) " ได้ถูกเปลี่ยนเป็น ภาษาปาร์ซี กลายเป็น "โวสัตตะ" ( Vosatta ) จากนั้นได้เปลี่ยน โดยชาวคริสต์มาเป็น "โยซาฟ ( Yosaft ) " แล้วจึงกลายมาเป็น " โจซาฟัต ( Josaphat ) " ในครั้งล่าสุด
ยัง มีหลักฐาน และงานวิจัยของอีกหลาย ๆ ท่าน ที่สนับสนุน งานวิจัยเรื่อง ความลับหลังไม้กางเขน ของ พันเอก Henry Steel Olcott ตาม คห. ข้างต้น เช่น
+++โป รเฟสเซอร์ วิน เต นิชเซ(Prof. Win Te Nitze) ได้พบว่า ชีวิตและเรื่องราวของ "เบอร์ลัม ( Burlam )" และ "โจซาฟัต ( Joasaphat )" ได้ถูกเขียนขึ้น โดยใช้ชีว ประวัติของ พระพุทธเจ้า ศาสดาของ พุทธศาสนา โดยใช้ "ภาษาเปห์เลวี ( Pehlevi ) " และเรื่องราวของ พระพุทธเจ้า ในพุทธประวัติได้ถูกดัดแปลงให้เป็น " เช้นท์โจอาซาฟ " เป็นคริสต์ คาทอลิก
+++นัก วิชาการโบราณคดี ศาตราจารย์ ปอล คารัส ( Prof. Paul Carusl ) และนักภาษาศาสตร์ โรห์ริค ( Roehrick ) และโปรเฟสเซอร์ ที เสตอร์ลิงก์ เบอร์รี่ (Prof. T. Sterling Breey) ได้พบหลักฐานยืนยันได้ว่า "พระพุทธเจ้า" ได้ถูกนำมารวมไว้ อยู่ในบัญชีรายชื่อ ของปิตาจารย์ ทั้งหลายของคริสต์ คาทอลิก โดยการเปลี่ยนชื่อเสียใหม่แล้วใช้เรียกในนามของ "โจเซฟ ( Joseph ) " หรือ " โจซาฟัต ( Josaphat ) " หรือ " โจอาซาฟ ( Joasaphat ) "
+++ศาตราจารย์ ปอล คารัส ( Prof. Paul Carusl ) ได้พบจากหลักฐาน ทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ว่า "พระพุทธศาสนา ได้เผยแพร่เข้าสู่ทวีปยุโรป ตั้งแต่ครั้งโบราณ ก่อนที่ศาสนาคริสต์จะเกิดขึ้นในโลก "
+++Dr.Mahaffy ได้พบหลักฐานทางโบราณคดี เป็นสิ่งก่อสร้างในลักษณะของ "ศาสนสถานในพุทธศาสนา ที่กว้างใหญ่มีเนื้อที่หลายพันเฮคเตอร์ สามารถบรรจุคน ได้เป็นจำนวนนับหมื่น พร้อมกับเครื่องใช้ของ พระภิกษุสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา รวมทั้งศิลาจารึก พระสูตร ที่มีอายุก่อนคริสกาล ถึง 400 ปี"
รวม ทั้งได้ค้นพบ พุทธศาสนสถาน ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันแต่มีอายุน้อยกว่านั้น คือประมาณ 200 ปีก่อนคริสต์กาล ซึ่งอยู่ในสมัยของ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช จึงเป็นที่สามารถยืนยันได้ว่า พุทธศาสนา ได้เจริญรุ่งเรืองในดินแดนของ ประเทศซีเรีย ก่อนคริสต์ศาสนา จะอุบัติขึ้นอย่างแน่แท้ โดย และย้ำให้ต้องยอมรับความจริง ทางประวัติศาสตร์ด้วยว่า "เยซู" นั้นเป็นชาวซีเรียคนหนึ่ง
+++คณะ วิจัยของ พ.ท. Henry และ คณะโบราณคดี ได้ขุดค้นพบหลักฐาน สำคัญทางประวัติศาสตร์ และ ศาสนศาสตร์ ที่ยืนยันความเจริญรุ่งเรืองของ พระพุทธศาสนา มีอยู่จริงในเมือง อะเล็กซานเดรีย ดินแดน อียิปต์ คือ พุทธสถาน และ แท่งหินแกะสลัก เป็นรูป พระภิกษุสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา ซึ่งต่อมาได้ถูกทำลายเสียหายชำรุด ไปอย่างน่าเสียดาย โดยนักบวช โรมันคาธอลิค
ในความเห็น ทั้งหมดที่ผ่านมา เป็นบทความที่ชี้ให้เห็นว่า พุทธศาสนา เกิดขึ้นก่อน คริสต์ศาสนา เพราะฉะนั้น คำสอนของ คริสต์ศาสนาที่ว่า "พระเจ้าสร้างโลก" จึงถูกหักล้างลง ด้วยหลักฐานต่าง ๆ นา ๆ ดังที่กล่าวมา และถูกหักล้าง ด้วยเหตุผลทางความคิดที่สอดคล้องกับ หลักฐานข้างต้นว่า มีสิ่งต่าง ๆ มากมายที่เกิดขึ้นก่อน คริสต์ศาสนา จะอุบัติขึ้น แล้วเช่นนี้ พระเจ้าทางคริสต์ศาสนา จะเป็นผู้สร้างโลกได้อย่างไร?
คณะวิจัยของ พ.ท. Henry ได้ค้นคว้าพบที่มาของการเรียกชื่อ ของราชโอรส แห่งกษัตริย์ศรีอินเดีย ซึ่งเรียกว่า โจอาซาฟ ( Joasapht ) นั้นได้มีการเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "คัมพัตตะมะ(Gambatama)" และความหมายของคำว่า "คัมพัตตะมะ" นี้ได้ไปปรากฏอยู่ ในหนังสือโบราณ " ฟราวาดิน (Fravardin Yast) " ซึ่งได้เขียนไว้เป็น ภาษาปาซีร์ ให้คำอธิบายความหมายในบทที่ 16 ว่า "คำว่าคัมพัตตะมะ ( Gambatama ) ในภาษาปาร์ซีนั้น จะมีความหมายเท่ากับคำว่า "กอดตะมะ ( Godtama ) " สามารถใช้เรียกสั้น ๆ ได้ในโดยคำว่า " ก๊อด ( GOD ) "
ในปีค.ศ.786 นักโบราณคดี อัมดุลอาธาหิยา ( abdul alhahiya ) ได้พบจารึก ในม้วนกระดาษปาปิรุส ในประเทศอียิปต์ ซึ่งมีอายุก่อนคริสต์ศักราชถึง 30 ปี ปรากฏข้อความที่เกี่ยวเนื่องกับคำว่า " ก๊อด ( GOD ) " ซึ่งเป็นเครื่องหมายยืนยันที่มาของคำว่า " ก๊อด ( God ) " ได้ถูกใช้มาก่อนที่ เยซู จะถือกำเนิดกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว
ต่อมา ดร.โกลด์ สิฮาห์ ( Dr.Gold Sihar ) แห่ง บูดาเปสท์ ได้ศึกษาม้วนปาปิรุส และหลักฐานประกอบต่าง ๆ ได้ยืนยันสอดคล้อง กับคณะวิจัยของ พ.ท. เฮนรี่ ว่า " ตามข้อความ ในม้วนปาปิรุส ที่อ้างถึง พระราชา ซึ่งเรียกว่า ก๊อต ( God ) นั้นเป็นคำเรียก ซึ่งเพี้ยนมาจากคำว่า " โคตะมะ " เมื่อออกเสียงสั้น ๆ โดยสำเนียงท้องถิ่นจึงกลายมาเป็นคำว่า " ก๊อด ( God ) "
ในปี ค.ศ.1926 ได้มีการจัดประชุม คณะกรรมการ ประวัติศาสตร์โลก ที่เมืองลานาว ( Laknow ) ในงานนี้ โปรเฟสเซอร์ เมสรอฟบ์ ที.เซ๊ช ( Prof. Mesrovb T. Seth) ได้นำเสนองานวิจัยค้นคว้าว่า "ในช่วงกลางศตวรรษที่สอง ก่อนคริสต์ศักราช มี ศาสนาพุทธ เข้ามาตั้งอยู่อย่างมั่นคง ในอามาเนียร์ ต่อมาพวกคริสต์ คาทอลิก ได้ทำลายวัดวาอาราม ของพวก ชาวพุทธ และเข่นฆ่าฆ่าพวก พระ ทั้งหลาย ทำให้ชาวพุทธเหล่านี้ จำเป็นต้องเปลี่ยนไปนับถือ ศาสนา
คริสต์ แล้วผสมผสาน กับชาวอาร์มาเนี่ยน......."
คณะ วิจัยของ พ.ท.เฮนรี่ ยังได้พบหลักฐานสำคัญ ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเยซูคริสต์ นั้นเป็น ลูกศิษย์ ของ พระสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา ไม่ได้ร่ำเรียนความรู้ของ "พระเจ้า" ตามที่ได้กล่าวอ้าง โดยชาวคริสต์ ไว้ในคัมภีร์ไบเบิล
หลักฐานดังกล่าวนั้น คือผลงานวิจัยของ Dr. E. Maknob ที่ชื่อ " ชีวประวัติ ที่ไม่มีใครรู้ ของ พระคริสค์ ( The Unkown Life of Christ ) " ซึ่งถูกแปลออกมา จากเอกสารหลักฐาน โบราณที่ค้นพบที่ วัดเฮมิส ( Hemis Monastery) ที่เป็นวัดโบราณในธิเบต
หลักฐานของ Dr.Maknob นี้ได้มาด้วยความยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง เพราะบาทหลวง คริสต์โรมันคาธอลิค ผู้หนึ่งมีความพยายาม ที่จะทำลาย ความน่าเชื่อถือของ หลักฐานชิ้นสำคัญนี้ โดยได้พยามปั้น เรื่องเท็จเพื่อกล่าวว่า " เขาได้เดินทางไปที่วัดในธิเบต ที่ซึ่ง Dr. Maknob ได้พบหลักฐาน และเขาได้ถามหาเอกสารหลักฐาน โบราณดังกล่าวจาก พระลามะเจ้าอาวาส แต่ได้รับการปฏิเสธว่า เจ้าอาวาสไม่เคยพบ และไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับ เอกสารหลักฐานดังกล่าว ว่าเคยมีอยู่หรือเป็น สมบัติของวัดนี้มาก่อนเลย "
แต่ต่อมาความเท็จ ดังกล่าวของ บาทหลวง โรมันคาธอลิค ก็ได้ถูกเปิดเผยขึ้นโดย โปรเฟสเซอร์ นิคเล่อร์ส โรห์ลิค ( Pof. Nichlors Roehrick ) ที่เดินทางไปยังวัดเฮมิส ( Hemis Monastery ) ตามที่ Dr. Maknob อ้างถึง และได้ใช้ชีวิตอยู่ในวัดนั้น หลายปี เพื่อใช้ ความพยายาม สุดความสามารถ จนกระทั่งได้เอกสาร หลักฐานตัวจริง นั่นคือหลักฐานดังกล่าว ซึ่งได้เขียนลง บนเอกสารกระดาษสา อายุกว่า 1500 ปี โดยได้ถูกเขียนไว้เป็นภาษาธิเบต
ข้อความที่ปรากฏใน เอกสารหลักฐานนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องราวของ " เยซ ู" ศาสดาของชาวคริสต์ ซึ่งในภาษาธิเบตเรียกว่า " อิสซา ( Issa ) " เนื้อหาทั้งสิ้นนั้น ได้รับการจารึกโดยละเอียด นับตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเยซู ตาย
โปรเฟสเซอร์ นิคเล่อร์ส โรห์ลิค ( Pof. Nichlors Roehrick ) จึงนำเรื่องราว ในเอกสารโบราณดังกล่าว มาเปิดเผยต่อชาวโลกอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้
".......... อิสซา ( Issa ) หรือ เยซู ในวัยเด็ก ได้เดินทางไปอินเดีย กับกองคาราวาน พ่อค้าพร้อมกับ บิดามารดา ของตน ซึ่งมีอาชีพ ทำการค้าระหว่าง ซีเรีย กับ อินเดีย บิดาได้ฝากให้อาศัย อยู่กับ พระสงฆ ์ในพุทธศาสนา ณ เวลานั้น นาลันทา ซึ่งเป็นศูนย์กลางการศึกษา ของ พระพุทธศาสนา กำลังมีชื่อเสียงโด่ง ดังเป็นที่รู้จักไปทั่วทุกอาณาจักร
การที่ เยซู ได้ศึกษาปฏิบัติจิตของชาวพุทธที่นั่น ทำให้เยซูได้เดินทางขึ้นสู่ธิเบต และได้เข้าวัด เพื่อฝึกหัดญาน และอิทธิ ( Dhyana & Iddhi )
ใน คัมภีร์ไบเบิลเอง ก็ไม่ได้มีการบันทึกเรื่องราวในช่วงนี้ของ พระเยซู เรื่องราวได้ขาดหาย ทั้งที่เกี่ยวกับสถานที่ และการงานที่ พระเยซู ได้กระทำในระหว่างวัยเด็กเล็ก จนถึงอายุ 29 ปี ว่าเป็นอย่างไร
จาก หลักฐานที่กล่าวมาทั้งหมด คงหนีไม่พ้นที่จะเกิดคำถามว่า "พระเยซู ใช้คำสอนของศาสนาใด? เป็นสิ่งที่ได้รับมาจาก พระเจ้าตาม พระคัมภีร์ไบเบิล อ้างไว้นั้นจริงหรือ ? " และ "คำสอน ในสมัยที่ เยซ ูมีชีวิตอยู่ และใช้สั่งสอน และตนเองใช้ปฏิบัตินั้นคือ ศาสนาอะไร ? "
ข้อสงสัยนี้ ได้ถูกขจัดไปโดยสิ้นเชิง โดยหลักฐาน อย่างเป็นทางการของ Prof. N. Plini ในงานวิจัยของชื่อ "ปาเลสไตน์ก่อนสมัยคริสต์ คาทอลิก ( Pre-Christine Palestine ) " ซึ่งได้ระบุถึงนิกายหนึ่ง ของพุทธศาสนามีชื่อว่า เอสเซ่นส์ ( Essnenes ) ซึ่งยึดถือว่า โลกิยธรรมท และโลกุตรธรรม ไม่มีสภาวะโดยแท้จริง นิกายนี้ปฏิบัติบำเพ็ญพรต คล้ายโยคี มักอยู่ตามตามถ้ำ และป่าเขา ไม่กินเนื้อสัตว์ เผยแพร่เจริญมากที่สุดในแถบ แคชเมีย และธิเบต ตอนล่าง ได้แพร่หลายเข้าสู่ปาเลสไตน์ก่อนที่ "เยชู" ศาสดาของคริสต์ศาสนาจะเกิดหลายร้อยปี
พระสงฆ์ของนิกายนี้ ไม่จับจ่ายใช้สอยเงินทอง ตื่นแต่เข้าและทำ สมาธิ โดยหันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีกิจวัตรหลัก ที่ต้องปฏิบัติ คือการทำสมาธิจิต จึงทำให้ถูกเรียกว่า " อิสี " หรือ " อิสิ (Isi) " ซึ่งเป็นคำจากภาษาบาลี
คณะวิจัยของ พ.ท.เฮนรี่ยังได้พบหลักฐานยืนยันต่อไปว่า "......พระพุทธศาสนามหายาน ได้มีการเผยแผ่หลักคำสอน อย่างแพร่หลายกว้างขวางที่สุด เข้าไปจนถึง ปาเลสไตน์ และ อียิปต์ รากฐานในคำสอนของ มหายาน ก็คือ อธิ-พุทธะ และในส่วนสำคัญของคำสอน เรื่อง อธิ-พุทธะ นั้นคล้ายกับ พระพรหม ใน คัมภีร์เวทานตะ ( Vedanta ) ซึ่งชี้เน้น ให้เห็นอย่างเดียวกันคือ เป็นต้นแบบของ พระผู้สร้าง ( Creator ) ที่ชาวยิวทั้งหลาย นับถืออยู่นั่นเอง แต่ไม่ใช่อยู่ในสภาพของบุคคล แต่มันเป็นต้นกำเนิด ของปรากฏการณ์ ทั้งหมด เป็นสิ่งที่คล้ายกันกับ " ปรกติ ( Prokati ) " ในปรัชญาสังขยา มันเป็นสิ่งที่ ไม่สามารถพรรณารูปร่างลักษณะได้
นอก จากนี้ โปรเฟสเซอร์ ริส เดวิด (Prof. Lead David) ได้พิสูจน์จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ได้พบความจริงว่า คำว่า "ก๊อต(God)" หมายถึง "พระพุทธเจ้า" ศาสดาของพระพุทธศาสนา เป็นคำที่ถูกย่อให้สั้นลงมาจากคำว่า " ก๊อตตะมะ ( Godtama ) " ( ตรงกับ ภาษาบาลีว่า โคตะมะ ) ซึ่งเป็น ชื่อ โค-ต-ร ตระกูลของพระพุทธเจ้า
และ ได้กล่าวว่าสิ่งที่พิสูจน์ว่า "เยซู" ได้ใช้หลักธรรม ของ พระพุทธศาสนา ดัดแปลงมาสั่งสอน ก็คือมาจากคำว่า " อิลิยาห์ ( Elijah ) " ที่ใช้ทับศัพท์ กับ คำภาษาบาลีเรียก พระสงฆ์ ที่สำเร็จธรรมขั้นสูง และพระพุทธเจ้า ซึ่งเรียกว่า "อริยะ" แปลว่า " ผู้ประเสริฐ ( The Noble One ) " ที่ต่อมาได้แผลงเป็น "อาลีลูยา" ในคำสวด ทั่วไปของคริสต์ศาสนา ซึ่งเราจะได้ยินอยู่ในปัจจุบัน
อีกคำ ที่พบว่า คำในพุทธศาสนา ถูดนำมาดัดแปลง ใส่ในคัมภีร์ไบเบิลส์ คือคำว่า " บุตรของก๊อต ( Sun of God ) " เพราะเมื่อพิสูจน์ใด้ว่า ก๊อต ( God ) มาจากคำว่า " โคตะมะ " ซึ่งหมายถึง "พระพุทธเจ้า" ดังนั้น บุตรของ ก๊อต ก็คือ บุตรของ พระพุทธเจ้า ตรงกันกับภาษา ในพระสูตรของพุทธศาสนาว่า " พุทธบุตร " ซึ่งหมายถึง " บุตร ( สาวก ) ของพระพุทธเจ้า"
หลักฐานนี้ ยกมาจากในไบเบิลของ คริสต์ศาสนา เองว่า พิธีแบบติสท์ ให้กับเยซูในแม่น้ำจอแดน โดย " เซ้นท์จอนด์ เดอะแบบติสท์ " นั้นเหมือน พิธีอุปสมบท ในโบสถ์น้ำ ของพุทธศาสนา เพราะในพิธีกรรมการบวช ของชาวพุทธนั้น จะมีพระสงฆ์ผู้ใหญ่ ตักน้ำรดหัว และโกนผมให้เป็น คนแรก การตักน้ำรดหัวนี้ ชาวคริสต์ ได้อ้างว่าเป็นพิธีกรรมเรียกว่า "แบบติสท์" แต่โดยความจริงแล้ว พิธีดังกล่าวนั้น เป็นของชาว พุทธศาสนา และการบวช โดยใช้แม่น้ำ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ในการประกอบพิธีก็เป็น พิธีปกติ ปฏิบัติของชาวพุทธ เช่นกัน (ในเมืองไทยเรียกว่า "โบสถ์น้ำ" สมัยปัจจุบันพ.ศ.2543 ในต่างจังหวัด ก็ยังคงมีการอุปสมบท แบบนี้อยู่.....ผู้เรียบเรียง) จึงถือเป็นหลักฐานยืนยัน ได้อย่างไม่มีข้อคัดค้านว่า จอนด์เดอะแบบติส คือ พระสงฆ์ ในพุทธศาสนา ทำหน้าที่ อุปัชฌายะ บวชให้กับ เยซู ในแม่น้ำจอแดน
จากหลักฐานที่ได้รับการพิสูจน์ทั้งหมด สรุปได้ว่า
" เยซู ได้รับการอุปสมบทให้เป็น พระสงฆ์ ในพุทธศาสนานิกาย เอสเซ่น โดยทำพิธีอุปสมบท (ในโบสถ์น้ำ) โดยพระอุปฌายะตามไบเบิล ชื่อว่า จอนด์
จาก นั้นได้เข้าศึกษาพระพุทธศาสนาใน ประเทศอินเดีย และไปศึกษาการปฏิบัติทาง ฌาณ-อภิญญา ( Dhyana & Adhingna ) ในวัดที่ ธิเบต ตอนล่างอีกหลายปีในระหว่างวัยหนุ่ม สำเร็จสมาธิระดับหนึ่ง
เมื่ออายุ ได้ 29 ปี จึงเดินทางกลับบ้าน ในนาซาเรธ ปาเลสไตน์ แต่บ้านเกิดของเยซูขณะนั้น ไม่มีชาวพุทธ แต่เต็มไปด้วยชาวยิว ที่นับถือ ศาสนายูดาย จึงทำให้เยซู ต้องต่อสู้กับศาสนายูดายส์ โอลเทสเม้น ( Old Testment ) ซึ่งมีศาสดาของศาสนายูดายนามว่า โมเสส และในสมัยนั้น ศาสนายูดาย กำลังมีอิทธิพลมาก กับชาติยิวแถบปาเลสไตน์ ซึ่งทำให้ชาวยิว ที่นับถือศาสนายูดาย กลายเป็นศัตรูที่จ้องหาโอกาส ทำร้ายอยู่ตลอดเวลา และไม่มีการจารึกคำสั่งสอนใด ๆ ของเยซูไว้ทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะคำสอน ของเยซู นั้น ก็คือคำสอนของ พระสงฆ์นิกายเอสเซ่น ที่ใคร ๆ ก็รู้มีอยู่อย่างดาดดื่นอยู่แล้วทั่วไป ในดินแดนแถบนี้
และในที่สุด "เยซู" จึงถูกชาวยิวคู่ปรับ ตั้งข้อกล่าวหาต่าง ๆ และได้รับการพิพากษา ด้วยการตัดสิน ให้ถูกลงโทษประหารชีวิต โดยการตรึงกางเขน เยซูไม่ได้เสียชีวิตบนไม้กางเขนในทันที เพราะได้เข้าฌาน ซึ่งการศึกษาจากธิเบต นั้น แต่คนที่เห็นคิดว่าตาย แล้วซึ่งเป็นวิชาที่โยคีใน อินเดียในปัจจุบัน หลายคนก็ทำให้หัวใจหยุด ได้เหมือนตายเช่นเดียวกัน ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร แม้แต่โยคีบางคนยังได้แสดงการเผาตัวเอง ให้นักท่องเที่ยวชมอีกด้วย พวกยิวจึงนำร่าง เยซู ไปไว้ในถ้ำแห่งหนึ่ง
หลังจากที่ เยซู ออกจาก ฌาน จึงหลบหนีออกจากเมือง ไปอยู่ในแคว้นแคชเมียร์ ที่ซึ่ง บิดา ของเยซูได้พาไปอาศัยอยู่เมื่อครั้งเด็ก นางมาเรีย แม่ของเยซู ก็ไม่อาจอยู่ในเมืองปาเลสไตน์ได้ จึงหนีไปอยู่แคชเมียร์ด้วยเหมือนกัน และทั้งสองแม่ลูก ก็อยู่ที่นั่นจนกระทั่งตาย
ข้อความต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล นิวเทสเม้น ( New Testment ) เป็นถ้อยคำ ที่ได้ถูกแต่งขึ้นมาโดย นักโทษชายชื่อ "เปาโล" และพรรคพวก ที่นับถือ ศาสนายูดาย ของชาวยิว ซึ่งติดคุกของโรมัน ได้ช่วยกันเขียน โดยแอบอ้างชื่อเสียง และเกียรติคุณของ เยซู มาเป็นตัวละครแอบอ้าง ทั้ง ๆ ที่อยู่คนละ ศาสนา เพื่อสร้างเป็นพลังทางการเมือง ทั้งนี้ เพราะในยุคนั้น ชาวปาเลสไตน์ที่นับถือ พุทธศาสนา รวมทั้งอาณาจักรใกล้เคียง ล้วนแต่นับถือพุทธศาสนา จะได้ใช้อิทธิพลบีบบังคับกับผู้นำโรมัน เพื่อให้พวกตน พ้นโทษประหาร หรือพ้นจากคุก ในฐานะที่ลงโทษศิษย์ของ เยซู ซึ่งเป็น ชาวพุทธ ที่ตนแอบอ้างว่าพวกตนนั้นก็เป็นศิษย์ และเป็นชาวพุทธ ด้วย จากนั้นส่งจดหมายนั้นออกไปยังที่ต่าง ๆ ในยุคต่อมา ก็มีการก็นำเอา จดหมาย ของนักโกหกเหล่านี้ มารวมเข้าด้วยกันเป็นเล่ม ไบเบิลเรียกว่า นิวเทสเม้นท์ ( New Testment ) ซึ่งไม่มีตรงไหน ที่เป็นคำสั่งสอนของ เยซู อยู่ในนั้นแม้เพียงคำเดียว และ เยซู เองก็ไม่เคยรู้จักนักโทษเหล่านี้เลย แม้เพียงคนเดียว แต่สิ่งที่พิสูจน์ได้ชัดว่า บุคคลที่ชั่วร้าย ซึ่งเป็นนักโทษเหล่านี้ คือผู้ที่นับถือ ศาสนายูดาย ก็คือข้อความอันปรากฏในคัมภีร์ใหม่ ( New Testment ) ล้วนเป็นเนื้อหาที่มาจาก คัมภีร์เก่า ( Old Testment ) ทั้งสิ้น ในเมื่อนักโทษทั้งหลาย รวมทั้งนักโทษเปาโล ที่ติดคุกโรมันอยู่นั้น หากเขามิใช่เป็นผู้เคร่งต่อ ศาสนายูดาย เหตุใดเขาเหล่านั้น จึงสามารถจดจำ เรื่องราว ถ้อยคำและความหมาย ในคัมภีร์เก่าของ ศาสนายูดาย ได้เล่า และสาวกของพวกเขาก็ได้แอบอ้าง สร้างศาสนา ขึ้นมาใหม่ชื่อว่า "โรมันคาทอลิก" เบียดบังขูดรีดหากิน และรุกรานประชาคมโลก ตลอดมาตราบจนปัจจุบัน นี่คือผลสรุป ของงานวิจัย และความจริงที่เราได้พิสูจน์ แก่ชาวโลกให้ได้เห็นประจักษ์
ที่มา [url=http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=vikings&month=07-2008&date=20&group=28&gblog=19]BlogGang.com : : VikingsX :
จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน (http://www.luangporruesi.com/book/15.html)
"..ประมาณ เกือบ ๒๐ ปีมาแล้วสมัยที่อาตมาไปวัดคริสต์ที่บางนกแขวก มีบาทหลวงบางคนเขาไปที่กรุงเทพฯ และก็ชอบๆ กัน เพราะสมัยนั้นอาตมาเรียนทั้งพุทธทั้งคริสต์ ที่เรียนคริสต์ไม่ใช่ไปเรียนที่โรงเรียนแต่คุยกัน ตอนนั้นพวกกุฎีจีนเขามาคุยแลกเปลี่ยนความรู้กัน ความจริงนักศาสนาจริงๆ เขาไม่ทะเลาะกัน เมื่อไปเยี่ยมเขาคุยไปคุยมา เขาถามว่า "ท่านทราบไหมว่า พระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่ไหน" อาตมาตอบว่า "รู้" เขาถามว่า "เคยคุยไหม" ก็บอกว่า "ฉันไปหาท่านทุกวัน ท่านอยู่ที่นิพพาน" จึงถามเขาว่า "แล้วพระเจ้าของท่านอยู่ที่ไหน" เขาตอบว่า "ไม่รู้" ถามว่า "เคยเห็นไหม" เขาตอบว่า "ไม่เคยเห็น" เขาเลยถามว่า "ท่านเคยเห็นพระเยซูของผมไหมครับ" ตอบว่า "ไม่เคยสนใจ" แล้วก็คุยเรื่องอื่นต่อไป
ต่อมากลับมาที่พัก ธรรมดาของพระก่อนจะนอนต้องทำจิตใจให้สะอาดสบาย ไม่อย่างนั้นนอนไม่สบาย พอเริ่มทำสมาธิจับอารมณ์ จิตมันหลุดโผล่ปั๊บถึงดาวดึงส์ ไปโผล่ช่วงระหว่างพระจุฬามุณีกับบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ไปเดินป๋อที่นั่น พอเดินไปก็มีบาทหลวงคนหนึ่งเดินสวนทางเดินตรงมาข้างหน้า ก็เลยถามว่า "พระเยซูใช่ไหม" ตามธรรมดาอารมณ์เป็นทิพย์มันจะบอกเลยว่าใครเป็นใคร ถ้ายังสงสัยก็ยังใช้ไม่ได้ ความเป็นทิพย์จะบอกชัดจะไปสงสัยไม่ได้เลย ท่านก็ตอบว่า "ใช่ครับ"
อาตมาถามว่า "ทำไมถึงแต่งตัวรุ่มร่ามอย่างนี้ บนสวรรค์เขาแต่งตัวแบบนี้เหรอ" ท่านบอกว่า "ถ้าผมไม่แต่งตัวแบบนี้ เกรงว่าท่านจะจำไม่ได้ จะสงสัย" บอกว่า "ถ้าอย่างนั้นสภาพความเป็นจริงของท่านเป็นอย่างไร" ท่านก็ทำให้ดู ภาพนั้นหายไปกลายเป็นภาพเทวดาสวยงามมาก เครื่องประดับขาวเป็นประกายแวววับ ชฎาก็แหลมเปี๊ยบ เรียกว่างามจับตาเลย ถามว่า "อยู่ที่ไหน" ตอบว่า "อยู่ชั้นดุสิต"
พอบอกอยู่ชั้นดุสิตอาตมาก็ตกใจ ต้องเป็นพระโพธิสัตว์แน่ๆ คุยไปคุยมา อาตมาก็บอกท่านว่า "คำสอนของท่านมันผิดอยู่ข้อหนึ่งนะ" ท่านถามว่า "ผิดอย่างไรครับ" บอกว่า "ล้างบาปนั่นนะ คนที่ทำความชั่วแล้วมันทำลายได้เรอะ อย่างกับเนื้อของเราถูกตัดเฉือนไปเป็นแผล เราจะเอาเงินไปแลกซื้อเนื้อใครเขามาได้ที่ไหน จ่ายเงินให้เขาแล้วแผลมันหายหรือ" ท่านตอบว่า "ความจริงผมไม่ได้สอนอย่างนั้นนะครับ ที่ผมสอนนั้น ผมสอนให้สารภาพบาปแบบพระแสดงอาบัติ อาการสารภาพบาปคือ ไปทำความชั่วมาจากไหน เราจะได้ไม่ทำต่อไป" คำสอนของท่านเป็นแบบนี้ มา ตอนหลังมาดัดแปลง พอล้างบาป สารภาพบาปแล้วบาปหาย ก็เลยบาปทั้งสองคน คนก่อนก็ไม่หมดบาป คนหลังบาปเพราะโกหก
ผู้ที่มีสิทธิไปเกิดอยู่ชั้นดุสิต
พอกลับลงมาก็มานั่งคิดว่า พระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ชั้นดุสิต ต้องมีบารมีเข้มแข็งมาก ถ้าไม่เข้มแข็งเข้าชั้นนี้ไม่ได้ เพราะชั้นดุสิตนี้เข้าได้ ๓ พวกคือ
๑) พุทธบิดาพุทธมารดาของพระพุทธเจ้า
๒) พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเข้มแข็งแล้ว
๓) พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปจึงจะอยู่ชั้นนี้ได้
สวรรค์ ทุกชั้นไม่ใช่ใครจะอยู่ได้ทุกชั้นนะ ต้องเป็นไปตามขั้น ก็เลยมานั่งนึกว่า ทำไมพระเยซูมาอยู่ชั้นดุสิตได้ มาดูอารมณ์ตอนหนึ่งของท่านคือ ถูกตอกตะปูกับไม้กางเขน ถ้าจิตไม่ดีพอ ท่านจะเป็นเทวดาไม่ได้ ตามพระบาลีบอกว่า "ถ้าจิตเศร้าหมองก่อนจะตาย ตายไปก็ต้องลงอบายภูมิ" นั่น เขาเจ็บขนาดนั้นเขายังไม่โกรธ ลองคิดดูให้ดีไม่ใช่เรื่องเล็กนะเรื่องใหญ่มาก ทำความดีไว้มากตลอดชีวิต แต่เวลาตายจิตเศร้าหมองหน่อยเดียวก็ต้องลงนรกหน่อยอย่าง พระนางมัลลิกาเทวี เป็นคนดีตลอดชาติ เวลาตายจิตคิดถึงที่เคยไปสะดุดเท้าของสามีนิดเดียว ความจริงโทษท่านไม่มี ถ้าจิตท่านไม่เศร้าหมองก็ไม่ลงนรก แต่ท่านแต่งตัวเป็นนางฟ้า เท้าแหย่ในนรก ๗ วัน.."
ที่มา [url=http://www.luangporruesi.com/681.html]"
"..ประมาณ เกือบ ๒๐ ปีมาแล้วสมัยที่อาตมาไปวัดคริสต์ที่บางนกแขวก มีบาทหลวงบางคนเขาไปที่กรุงเทพฯ และก็ชอบๆ กัน เพราะสมัยนั้นอาตมาเรียนทั้งพุทธทั้งคริสต์ ที่เรียนคริสต์ไม่ใช่ไปเรียนที่โรงเรียนแต่คุยกัน ตอนนั้นพวกกุฎีจีนเขามาคุยแลกเปลี่ยนความรู้กัน ความจริงนักศาสนาจริงๆ เขาไม่ทะเลาะกัน เมื่อไปเยี่ยมเขาคุยไปคุยมา เขาถามว่า "ท่านทราบไหมว่า พระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่ไหน" อาตมาตอบว่า "รู้" เขาถามว่า "เคยคุยไหม" ก็บอกว่า "ฉันไปหาท่านทุกวัน ท่านอยู่ที่นิพพาน" จึงถามเขาว่า "แล้วพระเจ้าของท่านอยู่ที่ไหน" เขาตอบว่า "ไม่รู้" ถามว่า "เคยเห็นไหม" เขาตอบว่า "ไม่เคยเห็น" เขาเลยถามว่า "ท่านเคยเห็นพระเยซูของผมไหมครับ" ตอบว่า "ไม่เคยสนใจ" แล้วก็คุยเรื่องอื่นต่อไป
ต่อมากลับมาที่พัก ธรรมดาของพระก่อนจะนอนต้องทำจิตใจให้สะอาดสบาย ไม่อย่างนั้นนอนไม่สบาย พอเริ่มทำสมาธิจับอารมณ์ จิตมันหลุดโผล่ปั๊บถึงดาวดึงส์ ไปโผล่ช่วงระหว่างพระจุฬามุณีกับบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ไปเดินป๋อที่นั่น พอเดินไปก็มีบาทหลวงคนหนึ่งเดินสวนทางเดินตรงมาข้างหน้า ก็เลยถามว่า "พระเยซูใช่ไหม" ตามธรรมดาอารมณ์เป็นทิพย์มันจะบอกเลยว่าใครเป็นใคร ถ้ายังสงสัยก็ยังใช้ไม่ได้ ความเป็นทิพย์จะบอกชัดจะไปสงสัยไม่ได้เลย ท่านก็ตอบว่า "ใช่ครับ"
อาตมาถามว่า "ทำไมถึงแต่งตัวรุ่มร่ามอย่างนี้ บนสวรรค์เขาแต่งตัวแบบนี้เหรอ" ท่านบอกว่า "ถ้าผมไม่แต่งตัวแบบนี้ เกรงว่าท่านจะจำไม่ได้ จะสงสัย" บอกว่า "ถ้าอย่างนั้นสภาพความเป็นจริงของท่านเป็นอย่างไร" ท่านก็ทำให้ดู ภาพนั้นหายไปกลายเป็นภาพเทวดาสวยงามมาก เครื่องประดับขาวเป็นประกายแวววับ ชฎาก็แหลมเปี๊ยบ เรียกว่างามจับตาเลย ถามว่า "อยู่ที่ไหน" ตอบว่า "อยู่ชั้นดุสิต"
พอบอกอยู่ชั้นดุสิตอาตมาก็ตกใจ ต้องเป็นพระโพธิสัตว์แน่ๆ คุยไปคุยมา อาตมาก็บอกท่านว่า "คำสอนของท่านมันผิดอยู่ข้อหนึ่งนะ" ท่านถามว่า "ผิดอย่างไรครับ" บอกว่า "ล้างบาปนั่นนะ คนที่ทำความชั่วแล้วมันทำลายได้เรอะ อย่างกับเนื้อของเราถูกตัดเฉือนไปเป็นแผล เราจะเอาเงินไปแลกซื้อเนื้อใครเขามาได้ที่ไหน จ่ายเงินให้เขาแล้วแผลมันหายหรือ" ท่านตอบว่า "ความจริงผมไม่ได้สอนอย่างนั้นนะครับ ที่ผมสอนนั้น ผมสอนให้สารภาพบาปแบบพระแสดงอาบัติ อาการสารภาพบาปคือ ไปทำความชั่วมาจากไหน เราจะได้ไม่ทำต่อไป" คำสอนของท่านเป็นแบบนี้ มา ตอนหลังมาดัดแปลง พอล้างบาป สารภาพบาปแล้วบาปหาย ก็เลยบาปทั้งสองคน คนก่อนก็ไม่หมดบาป คนหลังบาปเพราะโกหก
ผู้ที่มีสิทธิไปเกิดอยู่ชั้นดุสิต
พอกลับลงมาก็มานั่งคิดว่า พระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ชั้นดุสิต ต้องมีบารมีเข้มแข็งมาก ถ้าไม่เข้มแข็งเข้าชั้นนี้ไม่ได้ เพราะชั้นดุสิตนี้เข้าได้ ๓ พวกคือ
๑) พุทธบิดาพุทธมารดาของพระพุทธเจ้า
๒) พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเข้มแข็งแล้ว
๓) พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปจึงจะอยู่ชั้นนี้ได้
สวรรค์ ทุกชั้นไม่ใช่ใครจะอยู่ได้ทุกชั้นนะ ต้องเป็นไปตามขั้น ก็เลยมานั่งนึกว่า ทำไมพระเยซูมาอยู่ชั้นดุสิตได้ มาดูอารมณ์ตอนหนึ่งของท่านคือ ถูกตอกตะปูกับไม้กางเขน ถ้าจิตไม่ดีพอ ท่านจะเป็นเทวดาไม่ได้ ตามพระบาลีบอกว่า "ถ้าจิตเศร้าหมองก่อนจะตาย ตายไปก็ต้องลงอบายภูมิ" นั่น เขาเจ็บขนาดนั้นเขายังไม่โกรธ ลองคิดดูให้ดีไม่ใช่เรื่องเล็กนะเรื่องใหญ่มาก ทำความดีไว้มากตลอดชีวิต แต่เวลาตายจิตเศร้าหมองหน่อยเดียวก็ต้องลงนรกหน่อยอย่าง พระนางมัลลิกาเทวี เป็นคนดีตลอดชาติ เวลาตายจิตคิดถึงที่เคยไปสะดุดเท้าของสามีนิดเดียว ความจริงโทษท่านไม่มี ถ้าจิตท่านไม่เศร้าหมองก็ไม่ลงนรก แต่ท่านแต่งตัวเป็นนางฟ้า เท้าแหย่ในนรก ๗ วัน.."
ที่มา [url=http://www.luangporruesi.com/681.html]"
โต้แย้ง
ในส่วนนี้ผมได้รวบรวมคำโต้แย้งบางประการ เพื่อชี้ให้เห็นว่า บทความดังกล่าวข้างต้น เป็นบทความที่หลอกลวง ไม่ใช่ข้อเท็จจริง ไม่สามารถนำมาอ้างอิงในเชิงวิชาการได้
บทความดังกล่าวเป็นได้แค่ "นิยายศาสนา" เท่านั้นครับ
เรื่องเท็จ493 ปี ก่อนมีคริสตศาสนาเกิดขึ้นบนโลก โสเครติส ผู้แรกหนุ่ม ได้เดินทางมาศึกษายัง ตักกะศิลา ใน อินเดียตอนเหนือ และได ้ปาวารณาตน เป็นอุบาสกใน พุทธศาสนา ปฏิบัติทางสมาธิจิต จากพระอรหันต์ จากนั้น ได้เดินทางกลับไปยัง ประเทศกรีก (Jonia) ตั้ง สำนักสอนวิชาการ และสำนักปฏิบัติธรรม ได้เข้ารับราชการ มีตำแหน่งเป็น อาจารย์สอนวิชาการ และ หลักธรรมอันลึกซึ้ง ในพระพุทธศาสนา ให้กับ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ (Alexzander The Great) ทำให้ต่อมาได้ กรีฑาทัพ มายังชมพูทวีป เพื่อศึกษา พระพุทธศาสนา ด้านพระอภิธรรม กับพระอริยบุคคล ตามที่ได้รับการแนะนำ จากโสเครติส
เรื่องจริง
โสเครติสมีชีวิตอยู่ในช่วง 469 BC–399 BC
อเล็กซานเดอร์ มีชีวิตอยู่ในช่วง 356 BC–323 BC
... แล้วโสเครติส จะเป็นอาจารย์ของ อเล็กซานเดอร์ ได้อย่างไร ???
http://en.wikipedia.org/wiki/Socrates
http://en.wikipedia.org/wiki/Alexander_the_Great
เรื่องเท็จ493 ปี ก่อนมีคริสตศาสนาเกิดขึ้นบนโลก โสเครติส ผู้แรกหนุ่ม ได้เดินทางมาศึกษายัง ตักกะศิลา ใน อินเดียตอนเหนือ และได ้ปาวารณาตน เป็นอุบาสกใน พุทธศาสนา ปฏิบัติทางสมาธิจิต จากพระอรหันต์ จากนั้น ได้เดินทางกลับไปยัง ประเทศกรีก (Jonia) ตั้ง สำนักสอนวิชาการ และสำนักปฏิบัติธรรม ได้เข้ารับราชการ มีตำแหน่งเป็น อาจารย์สอนวิชาการ และ หลักธรรมอันลึกซึ้ง ในพระพุทธศาสนา ให้กับ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ (Alexzander The Great) ทำให้ต่อมาได้ กรีฑาทัพ มายังชมพูทวีป เพื่อศึกษา พระพุทธศาสนา ด้านพระอภิธรรม กับพระอริยบุคคล ตามที่ได้รับการแนะนำ จากโสเครติส
เรื่องจริง
โสเครติสมีชีวิตอยู่ในช่วง 469 BC–399 BC
อเล็กซานเดอร์ มีชีวิตอยู่ในช่วง 356 BC–323 BC
... แล้วโสเครติส จะเป็นอาจารย์ของ อเล็กซานเดอร์ ได้อย่างไร ???
http://en.wikipedia.org/wiki/Socrates
http://en.wikipedia.org/wiki/Alexander_the_Great
เรื่องเท็จ
และ ได้กล่าวว่าสิ่งที่พิสูจน์ว่า "เยซู" ได้ใช้หลักธรรม ของ พระพุทธศาสนา ดัดแปลงมาสั่งสอน ก็คือมาจากคำว่า " อิลิยาห์ ( Elijah ) " ที่ใช้ทับศัพท์ กับ คำภาษาบาลีเรียก พระสงฆ์ ที่สำเร็จธรรมขั้นสูง และพระพุทธเจ้า ซึ่งเรียกว่า "อริยะ" แปลว่า " ผู้ประเสริฐ ( The Noble One ) " ที่ต่อมาได้แผลงเป็น "อาลีลูยา" ในคำสวด ทั่วไปของคริสต์ศาสนา ซึ่งเราจะได้ยินอยู่ในปัจจุบัน
เรื่องจริง
เอลียาห์ (Elijah) ไม่ได้หมายถึงคำว่า "อริยะ" แต่อย่างใด
เอลียาห์ ไม่ใช่หลักคำสอนของพระเยซูเลย แต่เป็นชื่อคน
เอลียาห์คือ ผู้เผยพระวจนะ (ศาสดาพยากรณ์) ในสมัยของกษัตริย์อาหับ
ซึ่งปรากฎในหนังสือ 1 พงศ์กษัตริย์ บทที่ 17 จนถึง 2 พงศ์กษัตริย์ บทที่ 2 ซึ่งหนังสือนี้ เขียนขึ้นเมื่อปี 874 กคศ.
และ ได้กล่าวว่าสิ่งที่พิสูจน์ว่า "เยซู" ได้ใช้หลักธรรม ของ พระพุทธศาสนา ดัดแปลงมาสั่งสอน ก็คือมาจากคำว่า " อิลิยาห์ ( Elijah ) " ที่ใช้ทับศัพท์ กับ คำภาษาบาลีเรียก พระสงฆ์ ที่สำเร็จธรรมขั้นสูง และพระพุทธเจ้า ซึ่งเรียกว่า "อริยะ" แปลว่า " ผู้ประเสริฐ ( The Noble One ) " ที่ต่อมาได้แผลงเป็น "อาลีลูยา" ในคำสวด ทั่วไปของคริสต์ศาสนา ซึ่งเราจะได้ยินอยู่ในปัจจุบัน
เรื่องจริง
เอลียาห์ (Elijah) ไม่ได้หมายถึงคำว่า "อริยะ" แต่อย่างใด
เอลียาห์ ไม่ใช่หลักคำสอนของพระเยซูเลย แต่เป็นชื่อคน
เอลียาห์คือ ผู้เผยพระวจนะ (ศาสดาพยากรณ์) ในสมัยของกษัตริย์อาหับ
ซึ่งปรากฎในหนังสือ 1 พงศ์กษัตริย์ บทที่ 17 จนถึง 2 พงศ์กษัตริย์ บทที่ 2 ซึ่งหนังสือนี้ เขียนขึ้นเมื่อปี 874 กคศ.
ส่วนคำว่า "ฮาเลลูยาห์" นั้นมาจากภาษาฮีบรู (Hy"“Wll.h;)
ฮาเลลู แปลว่า "สรรเสริญ"
ยาห์ แปลว่า "พระเจ้า"
ฮาเลลูยาห์ จึงแปลว่า "สรรเสริญพระเจ้า"
คำว่า ฮาเลลูยาห์ นี้ ปรากฎอยู่หลายแห่งในพระคัมภีร์ โดยจะพบมากในหนังสือสดุดี ซึ่งพระธรรมสดุดีก็ถูกเขียนขึ้น 1,000ปี ก่อนคริสตกาล ซึ่งก็จะเห็นได้ว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับคำว่าอริยะเลย
ฮาเลลู แปลว่า "สรรเสริญ"
ยาห์ แปลว่า "พระเจ้า"
ฮาเลลูยาห์ จึงแปลว่า "สรรเสริญพระเจ้า"
คำว่า ฮาเลลูยาห์ นี้ ปรากฎอยู่หลายแห่งในพระคัมภีร์ โดยจะพบมากในหนังสือสดุดี ซึ่งพระธรรมสดุดีก็ถูกเขียนขึ้น 1,000ปี ก่อนคริสตกาล ซึ่งก็จะเห็นได้ว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับคำว่าอริยะเลย
เรื่องเท็จ
หลักฐาน อย่างเป็นทางการของ Prof. N. Plini ในงานวิจัยของชื่อ "ปาเลสไตน์ก่อนสมัยคริสต์ คาทอลิก ( Pre-Christine Palestine ) " ซึ่ง ได้ระบุถึงนิกายหนึ่ง ของพุทธศาสนามีชื่อว่า เอสเซ่นส์ ( Essnenes ) ซึ่งยึดถือว่า โลกิยธรรมท และโลกุตรธรรม ไม่มีสภาวะโดยแท้จริง นิกายนี้ปฏิบัติบำเพ็ญพรต คล้ายโยคี มักอยู่ตามตามถ้ำ และป่าเขา ไม่กินเนื้อสัตว์ เผยแพร่เจริญมากที่สุดในแถบ แคชเมีย และธิเบต ตอนล่าง ได้แพร่หลายเข้าสู่ปาเลสไตน์ก่อนที่ "เยชู" ศาสดาของคริสต์ศาสนาจะเกิดหลายร้อยปี
พระ สงฆ์ของนิกายนี้ ไม่จับจ่ายใช้สอยเงินทอง ตื่นแต่เข้าและทำ สมาธิ โดยหันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีกิจวัตรหลัก ที่ต้องปฏิบัติ คือการทำสมาธิจิต จึงทำให้ถูกเรียกว่า " อิสี " หรือ " อิสิ (Isi) " ซึ่งเป็นคำจากภาษาบาลี
การ เผยแผ่ พระพุทธศาสนา ใน ครั้งนั้น ทำให้ชาวกรีก และชาวยุโรป เดินทางมาบวช เป็นพระภิกษุใน พุทธศาสนา สำเร็จเป็น พระอรหันต์ หลายองค์สำหรับที่ ชาวโลก รู้จักดีที่สุดคือ พระโยนะธรรมรักขิตะ ทั้งนี้เพราะท่านได้มีเขียนด้าน พุทธศาสตร์ ไว้หลายภาษา เช่น ภาษาสันสกฤต ภาษามคธ ภาษาคฤณ รวมทั้ง ท่านผู้นี้ได้แปล พระสูตร มากมายเป็นภาษากรีก จึงทำให้หลักธรรม ของพุทธศาสนา ได้ถูกปริวัติเป็น " ระบอบประชาธิปไตย " และ พุทธศาสนิก ได้กระจายออกไปทั่วตะวันออกกลาง แยกกลุ่ม นำธรรมมะ ออกไปปฏิบัติตามความถนัด และ ความเหมาะสมของพื้นที่ของตน ทำให้เกิดเป็น ศาสนา แอสเซเนส ( Essenes ) ซึ่งนิกายนี้ จะแยกตัวออกไปอยู่ตาม ป่า หรือที่วิเวก เพื่อประพฤติ พรหมจรรย์ และ ฝึกสมาธิจิต ตามหลักใน พระไตรปิฏก เช่น เดียวกัน ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ในยุคนั้น พระพุทธวัจนะ ได้เผยแพร่ และปริวัติไปทั่วชมพูทวีป ตะวันออกกลางอย่างทั่วถึง และต่อเนื่องรวมทั้งยังเข้าถึงชนทุกเผ่า และทุกชนชั้น พระภิกษุสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา จาริก เผยแพร่ธรรม และออกปฏิบัติจิต สั่งสอนศิษย์ ในท้องถิ่นทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาล พระอริยบุคล หลายท่านได้เขียนคัมภีร์ บรรจุไว้ตามถ้ำ ซึ่งเป็นที่ประพฤติปฏิบัติจิต ของท่านมากมายหลายพันแห่ง ทั่วดินแดนแถบนี้ จึงไม่มีศาสนาอื่นใด ทั้งสิ้นที่ยิ่งใหญ่ และมีผู้เลื่อมใสศรัทธา เท่ากับ พระพุทธศาสนา ในยุคนั้น
เรื่องจริง
นิกายเอสเซน เป็นนิกายหนึ่งของชาวยิว ชอบปลีกวิเวกจากสังคม ไปอาศัยอยู่ที่คูมราน ติดทะเลเดดซี
หลักฐานที่เราพบเกี่ยวกับนิกายนี้คือ
สำเนาคัดลอกพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมภาษาฮีบรูอย่างมหาศาล และสำเนาหนังสือของชาวยิว
ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับพุทธศาสนาแม้แต่น้อย
รายชื่อหนังสือต่าง ๆ ที่นิกายเอสเซนเขียนไว้ ดูได้ที่นี่http://ot-nt.blogspot.com/2010/12/overview-of-dead-sea-scrolls.html?utm_source=BP_recent
พวกเอสเซน คือใคร ?http://www.pbs.org/wgbh/pages/frontline/shows/religion/portrait/essenes.html
สำเนาคัดลอกพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมภาษาฮีบรูอย่างมหาศาล และสำเนาหนังสือของชาวยิว
ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับพุทธศาสนาแม้แต่น้อย
รายชื่อหนังสือต่าง ๆ ที่นิกายเอสเซนเขียนไว้ ดูได้ที่นี่http://ot-nt.blogspot.com/2010/12/overview-of-dead-sea-scrolls.html?utm_source=BP_recent
พวกเอสเซน คือใคร ?http://www.pbs.org/wgbh/pages/frontline/shows/religion/portrait/essenes.html
เรื่องเท็จ
นอก จากนี้ โปรเฟสเซอร์ ริส เดวิด (Prof. Lead David) ได้พิสูจน์จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ได้พบความจริงว่า คำว่า "ก๊อต(God)" หมายถึง "พระพุทธเจ้า" ศาสดาของพระพุทธศาสนา เป็นคำที่ถูกย่อให้สั้นลงมาจากคำว่า " ก๊อตตะมะ ( Godtama ) " ( ตรงกับ ภาษาบาลีว่า โคตะมะ ) ซึ่งเป็น ชื่อ โค-ต-ร ตระกูลของพระพุทธเจ้า
นอก จากนี้ โปรเฟสเซอร์ ริส เดวิด (Prof. Lead David) ได้พิสูจน์จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ได้พบความจริงว่า คำว่า "ก๊อต(God)" หมายถึง "พระพุทธเจ้า" ศาสดาของพระพุทธศาสนา เป็นคำที่ถูกย่อให้สั้นลงมาจากคำว่า " ก๊อตตะมะ ( Godtama ) " ( ตรงกับ ภาษาบาลีว่า โคตะมะ ) ซึ่งเป็น ชื่อ โค-ต-ร ตระกูลของพระพุทธเจ้า
" ฟราวาดิน (Fravardin Yast) " ซึ่งได้เขียนไว้เป็น ภาษาปาซีร์
ให้คำอธิบายความหมายในบทที่ 16 ว่า
"คำว่าคัมพัตตะมะ ( Gambatama ) ในภาษาปาร์ซีนั้น
จะมีความหมายเท่ากับคำว่า "กอดตะมะ ( Godtama )
" สามารถใช้เรียกสั้น ๆ ได้ในโดยคำว่า " ก๊อด ( GOD ) "
ในปีค.ศ.786 นักโบราณคดี อัมดุลอาธาหิยา ( abdul alhahiya ) ได้พบจารึก
ในม้วนกระดาษปาปิรุส ในประเทศอียิปต์ ซึ่งมีอายุก่อนคริสต์ศักราชถึง 30 ปี
ปรากฏข้อความที่เกี่ยวเนื่องกับคำว่า " ก๊อด ( GOD )
" ซึ่งเป็นเครื่องหมายยืนยันที่มาของคำว่า " ก๊อด ( God )
" ได้ถูกใช้มาก่อนที่ เยซู จะถือกำเนิดกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว
ต่อมา ดร.โกลด์ สิฮาห์ ( Dr.Gold Sihar ) แห่ง บูดาเปสท์ ได้ศึกษาม้วนปาปิรุส
และ หลักฐานประกอบต่าง ๆ ได้ยืนยันสอดคล้อง กับคณะวิจัยของ พ.ท. เฮนรี่ ว่า " ตามข้อความ ในม้วนปาปิรุส ที่อ้างถึง พระราชา ซึ่งเรียกว่า ก๊อต ( God )
นั้นเป็นคำเรียก ซึ่งเพี้ยนมาจากคำว่า " โคตะมะ " เมื่อออกเสียงสั้น ๆ
โดยสำเนียงท้องถิ่นจึงกลายมาเป็นคำว่า " ก๊อด ( God ) "
เรื่องจริง
ให้คำอธิบายความหมายในบทที่ 16 ว่า
"คำว่าคัมพัตตะมะ ( Gambatama ) ในภาษาปาร์ซีนั้น
จะมีความหมายเท่ากับคำว่า "กอดตะมะ ( Godtama )
" สามารถใช้เรียกสั้น ๆ ได้ในโดยคำว่า " ก๊อด ( GOD ) "
ในปีค.ศ.786 นักโบราณคดี อัมดุลอาธาหิยา ( abdul alhahiya ) ได้พบจารึก
ในม้วนกระดาษปาปิรุส ในประเทศอียิปต์ ซึ่งมีอายุก่อนคริสต์ศักราชถึง 30 ปี
ปรากฏข้อความที่เกี่ยวเนื่องกับคำว่า " ก๊อด ( GOD )
" ซึ่งเป็นเครื่องหมายยืนยันที่มาของคำว่า " ก๊อด ( God )
" ได้ถูกใช้มาก่อนที่ เยซู จะถือกำเนิดกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว
ต่อมา ดร.โกลด์ สิฮาห์ ( Dr.Gold Sihar ) แห่ง บูดาเปสท์ ได้ศึกษาม้วนปาปิรุส
และ หลักฐานประกอบต่าง ๆ ได้ยืนยันสอดคล้อง กับคณะวิจัยของ พ.ท. เฮนรี่ ว่า " ตามข้อความ ในม้วนปาปิรุส ที่อ้างถึง พระราชา ซึ่งเรียกว่า ก๊อต ( God )
นั้นเป็นคำเรียก ซึ่งเพี้ยนมาจากคำว่า " โคตะมะ " เมื่อออกเสียงสั้น ๆ
โดยสำเนียงท้องถิ่นจึงกลายมาเป็นคำว่า " ก๊อด ( God ) "
เรื่องจริง
God เป็นภาษาอังกฤษ...เวลานั้น ภาษาอังกฤษยังไม่เกิดขึ้นในโลกเลยครับ
http://en.wikipedia.org/wiki/English_language
http://en.wikipedia.org/wiki/English_language
ชาวยิวในสมัยพระเยซู ใช้ภาษาฮีบรู และภาษากรีก...ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเลย
“พระเจ้า” พันธสัญญาเดิม ภาษาฮีบรู
YAHWEH ยาห์เวห์
ELOHIM เอโลฮีม
ADONAI อะโดนาย
EL เอล
YAH ยาห์
“พระเจ้า” พันธสัญญาใหม่ ภาษากรีก
THEOS เธ-ออส
KURIOS คู ริ ออส
ภาษาอังกฤษ (ที่ใช้แปลจาก ฮีบรูและกรีก) คือ
GOD
LORD
ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาเดิมของพระคัมภีร์ แต่เป็นภาษา "แปล" เท่านั้น
พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษเล่มแรก ถูกแปลขึ้น ใน คศ.1388
The first translation of the English Bible was initiated by John Wycliffe and completed by John Purvey in A.D. 1388.
YAHWEH ยาห์เวห์
ELOHIM เอโลฮีม
ADONAI อะโดนาย
EL เอล
YAH ยาห์
“พระเจ้า” พันธสัญญาใหม่ ภาษากรีก
THEOS เธ-ออส
KURIOS คู ริ ออส
ภาษาอังกฤษ (ที่ใช้แปลจาก ฮีบรูและกรีก) คือ
GOD
LORD
ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาเดิมของพระคัมภีร์ แต่เป็นภาษา "แปล" เท่านั้น
พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษเล่มแรก ถูกแปลขึ้น ใน คศ.1388
The first translation of the English Bible was initiated by John Wycliffe and completed by John Purvey in A.D. 1388.
เรื่องเท็จ
อีกคำ ที่พบว่า คำในพุทธศาสนา ถูดนำมาดัดแปลง ใส่ในคัมภีร์ไบเบิลส์ คือคำว่า
" บุตรของก๊อต ( Sun of God ) " เพราะเมื่อพิสูจน์ใด้ว่า ก๊อต ( God )
มาจากคำว่า " โคตะมะ " ซึ่งหมายถึง "พระพุทธเจ้า"
ดังนั้น บุตรของ ก๊อต ก็คือ บุตรของ พระพุทธเจ้า ตรงกันกับภาษา
ในพระสูตรของพุทธศาสนาว่า " พุทธบุตร " ซึ่งหมายถึง
" บุตร ( สาวก ) ของพระพุทธเจ้า "
เรื่องจริง
บุตรของพระเจ้า ภาษาฮีบรูก็ดี ภาษากรีกก็ดี หรือภาษาท้องถิ่น ในอิสราเอล
ไม่ได้ออกเสียงเรียกว่า Sun of God เลยสักนิดเดียว
[ผู้แปลบทความนี้ คงตกภาษาอังกฤษด้วย...
จริงๆ ต้องเขียนว่า Son of God (บุตรของพระเจ้า) ...
ไม่ใช่ Sun of God (ดวงอาทิตย์ของพระเจ้า) !?!]
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น Son of God เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งเวลานั้น ภาษาอังกฤษยังไม่เกิดขึ้นครับ
คำว่า บุตรของพระเจ้า ในภาษากรีก คือ ui`ou/ qeou/ (ฮวีอู เธอู)... Son of God เป็นเพียงคำแปลเท่านั้น ...ไม่เกี่ยวอะไรกับบุตรของโคตะมะ หรือ สาวกของพระพุทธเจ้าเลย
“พระเจ้า” พันธสัญญาเดิม ภาษาฮีบรู
YAHWEH ยาห์เวห์
ELOHIM เอโลฮีม
ADONAI อะโดนาย
EL เอล
YAH ยาห์
“พระเจ้า” พันธสัญญาใหม่ ภาษากรีก
THEOS เธ-ออส
KURIOS คู ริ ออส
ทั้งผู้เขียน และผู้ที่ค้นคว้าได้อ้างมาในลิงค์ ตกทั้งประวัติศาสตร์ และภาษาศาสตร์ อย่างรุนแรง
เรื่องเท็จ
เขาถามว่า "ท่านทราบไหมว่า พระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่ไหน" อาตมาตอบว่า "รู้" เขาถามว่า "เคยคุยไหม" ก็บอกว่า "ฉันไปหาท่านทุกวัน ท่านอยู่ที่นิพพาน"
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%99
เรื่องเท็จ
พอเริ่มทำสมาธิจับอารมณ์ จิตมันหลุดโผล่ปั๊บถึงดาวดึงส์ ไปโผล่ช่วงระหว่างพระจุฬามุณีกับบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ไปเดินป๋อที่นั่น พอเดินไปก็มีบาทหลวงคนหนึ่งเดินสวนทางเดินตรงมาข้างหน้า ก็เลยถามว่า "พระเยซูใช่ไหม" ตามธรรมดาอารมณ์เป็นทิพย์มันจะบอกเลยว่าใครเป็นใคร ถ้ายังสงสัยก็ยังใช้ไม่ได้ ความเป็นทิพย์จะบอกชัดจะไปสงสัยไม่ได้เลย ท่านก็ตอบว่า "ใช่ครับ"
อาตมาถามว่า "ทำไมถึงแต่งตัวรุ่มร่ามอย่างนี้ บนสวรรค์เขาแต่งตัวแบบนี้เหรอ" ท่านบอกว่า "ถ้าผมไม่แต่งตัวแบบนี้ เกรงว่าท่านจะจำไม่ได้ จะสงสัย" บอกว่า "ถ้าอย่างนั้นสภาพความเป็นจริงของท่านเป็นอย่างไร" ท่านก็ทำให้ดู ภาพนั้นหายไปกลายเป็นภาพเทวดาสวยงามมาก เครื่องประดับขาวเป็นประกายแวววับ ชฎาก็แหลมเปี๊ยบ เรียกว่างามจับตาเลย ถามว่า "อยู่ที่ไหน" ตอบว่า "อยู่ชั้นดุสิต" พอบอกอยู่ชั้นดุสิตอาตมาก็ตกใจ ต้องเป็นพระโพธิสัตว์แน่ๆ คุยไปคุยมา อาตมาก็บอกท่านว่า "คำสอนของท่านมันผิดอยู่ข้อหนึ่งนะ" ท่านถามว่า "ผิดอย่างไรครับ" บอกว่า "ล้างบาปนั่นนะ คนที่ทำความชั่วแล้วมันทำลายได้เรอะ อย่างกับเนื้อของเราถูกตัดเฉือนไปเป็นแผล เราจะเอาเงินไปแลกซื้อเนื้อใครเขามาได้ที่ไหน จ่ายเงินให้เขาแล้วแผลมันหายหรือ" ท่านตอบว่า "ความจริงผมไม่ได้สอนอย่างนั้นนะครับ ที่ผมสอนนั้น ผมสอนให้สารภาพบาปแบบพระแสดงอาบัติ อาการสารภาพบาปคือ ไปทำความชั่วมาจากไหน เราจะได้ไม่ทำต่อไป" คำสอนของท่านเป็นแบบนี้ มา ตอนหลังมาดัดแปลง พอล้างบาป สารภาพบาปแล้วบาปหาย ก็เลยบาปทั้งสองคน คนก่อนก็ไม่หมดบาป คนหลังบาปเพราะโกหก
ผู้ที่มีสิทธิไปเกิดอยู่ชั้นดุสิต
พอกลับลงมาก็มานั่งคิดว่า พระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ชั้นดุสิต ต้องมีบารมีเข้มแข็งมาก ถ้าไม่เข้มแข็งเข้าชั้นนี้ไม่ได้
เรื่องจริง
เรื่องจริง
พระพุทธเจ้าไม่เคยทรงอธิบายว่า พระอรหันต์ผู้บรรลุนิพพานเมื่อดับขันธ์แล้วจะ อยู่ในสภาพเช่นใด การอธิบายทำได้ในลักษณะเพียงว่า นิพพานคือการดับทุกข์ สิ้นตัณหา เหมือนไฟที่ดับจนสิ้นเชื้อไม่สามารถที่จะลุกลามขึ้นมาได้อีก สำหรับพระอรหันต์ที่ปรินิพพานแล้วนั้น พระพุทธองค์ไม่ทรงตรัสยืนยันถึงความมีอยู่หรือความดับสูญ พระองค์ตรัสแต่เพียงว่า เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้ว ทั้งเทวดาและมนุษย์จะไม่สามารถเห็นพระองค์อีกต่อไป "ดูกร ภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันนำไปสู่ภพขาดแล้ว ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต" (ที.สี.14/90)
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%99
แสดงว่า พระสงฆ์รูปนี้...
1. มั่วนิ่ม โม้ กุเรื่อง หรือไม่ก็...
2. ฝันไป แล้วคิดว่าเป็นเรื่องจริง หรือไม่ก็...
3. บ้าเรื่องเท็จ
พอเริ่มทำสมาธิจับอารมณ์ จิตมันหลุดโผล่ปั๊บถึงดาวดึงส์ ไปโผล่ช่วงระหว่างพระจุฬามุณีกับบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ไปเดินป๋อที่นั่น พอเดินไปก็มีบาทหลวงคนหนึ่งเดินสวนทางเดินตรงมาข้างหน้า ก็เลยถามว่า "พระเยซูใช่ไหม" ตามธรรมดาอารมณ์เป็นทิพย์มันจะบอกเลยว่าใครเป็นใคร ถ้ายังสงสัยก็ยังใช้ไม่ได้ ความเป็นทิพย์จะบอกชัดจะไปสงสัยไม่ได้เลย ท่านก็ตอบว่า "ใช่ครับ"
อาตมาถามว่า "ทำไมถึงแต่งตัวรุ่มร่ามอย่างนี้ บนสวรรค์เขาแต่งตัวแบบนี้เหรอ" ท่านบอกว่า "ถ้าผมไม่แต่งตัวแบบนี้ เกรงว่าท่านจะจำไม่ได้ จะสงสัย" บอกว่า "ถ้าอย่างนั้นสภาพความเป็นจริงของท่านเป็นอย่างไร" ท่านก็ทำให้ดู ภาพนั้นหายไปกลายเป็นภาพเทวดาสวยงามมาก เครื่องประดับขาวเป็นประกายแวววับ ชฎาก็แหลมเปี๊ยบ เรียกว่างามจับตาเลย ถามว่า "อยู่ที่ไหน" ตอบว่า "อยู่ชั้นดุสิต" พอบอกอยู่ชั้นดุสิตอาตมาก็ตกใจ ต้องเป็นพระโพธิสัตว์แน่ๆ คุยไปคุยมา อาตมาก็บอกท่านว่า "คำสอนของท่านมันผิดอยู่ข้อหนึ่งนะ" ท่านถามว่า "ผิดอย่างไรครับ" บอกว่า "ล้างบาปนั่นนะ คนที่ทำความชั่วแล้วมันทำลายได้เรอะ อย่างกับเนื้อของเราถูกตัดเฉือนไปเป็นแผล เราจะเอาเงินไปแลกซื้อเนื้อใครเขามาได้ที่ไหน จ่ายเงินให้เขาแล้วแผลมันหายหรือ" ท่านตอบว่า "ความจริงผมไม่ได้สอนอย่างนั้นนะครับ ที่ผมสอนนั้น ผมสอนให้สารภาพบาปแบบพระแสดงอาบัติ อาการสารภาพบาปคือ ไปทำความชั่วมาจากไหน เราจะได้ไม่ทำต่อไป" คำสอนของท่านเป็นแบบนี้ มา ตอนหลังมาดัดแปลง พอล้างบาป สารภาพบาปแล้วบาปหาย ก็เลยบาปทั้งสองคน คนก่อนก็ไม่หมดบาป คนหลังบาปเพราะโกหก
ผู้ที่มีสิทธิไปเกิดอยู่ชั้นดุสิต
พอกลับลงมาก็มานั่งคิดว่า พระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ชั้นดุสิต ต้องมีบารมีเข้มแข็งมาก ถ้าไม่เข้มแข็งเข้าชั้นนี้ไม่ได้
เรื่องจริง
1. พระสงฆ์รูปนี้อ้างว่ามีความเป็นทิพย์ แต่ทำไมยังมีความสงสัย เพราะอารมณ์ทิพย์จะสงสัยไม่ได้ มิใช่หรือ ? ถ้าไม่สงสัยจะถามทำไม ว่า "พระเยซูใช่ไหม ?"
แสดงให้เห็นว่า ความเป็นทิพย์ของพระสงฆ์รูปนี้ มีความบกพร่อง
"พอเดินไปก็มีบาทหลวงคนหนึ่งเดินสวนทางเดินตรงมาข้างหน้า ก็เลยถามว่า "พระเยซูใช่ไหม" ตาม ธรรมดาอารมณ์เป็นทิพย์มันจะบอกเลยว่าใครเป็นใคร ถ้ายังสงสัยก็ยังใช้ไม่ได้ ความเป็นทิพย์จะบอกชัดจะไปสงสัยไม่ได้เลย ท่านก็ตอบว่า "ใช่ครับ""
ในเมื่อความเป็นทิพย์ของพระสงฆ์รูปนี้ มีความบกพร่อง มีความสงสัย
แสดงว่าอารมณ์ทิพย์ยังใช้ไม่ได้ เป็นอารมณ์ทิพย์ที่บกพร่อง
แล้วทีนี้ จะแน่ใจได้อย่างไรว่าพระเยซูที่พบนั้นเป็นตัวจริง ไม่ใช่เทพอื่นๆปลอมตัวมา ??? 2. พระสงฆ์รูปนี้ มีสติปัญญาที่คับแคบ
"ล้าง บาปนั่นนะ คนที่ทำความชั่วแล้วมันทำลายได้เรอะ อย่างกับเนื้อของเราถูกตัดเฉือนไปเป็นแผล เราจะเอาเงินไปแลกซื้อเนื้อใครเขามาได้ที่ไหน จ่ายเงินให้เขาแล้วแผลมันหายหรือ"
ตัวอย่างอื่นๆ เกี่ยวกับการล้างบาปมีเยอะแยะ แต่ท่านคิดได้แค่นั้นหรือ ?
การล้างบาป สามารถเปรียบเทียบกับ การตัดเนื้อออกไปอย่างนั้นหรือ ?
ตัวอย่างอื่นๆ เช่น
- ลูกทำผิด พ่อแม่ให้อภัยลูก
- คนทำผิด กลับใจใหม่ ได้รับการลดโทษ
- ผู้ร้ายฆ่าคน แต่ถ้ากษัตริย์ทรงอภัยโทษ ก็สามารถพ้นโทษได้
คนที่สามารถถอดกายทิพย์ได้...คิดได้เท่านี้เองหรือ ?
3. อาจเป็นไปได้ว่า พระสงฆ์ท่านนั้นได้พบพระเยซูจริง (ถ้าพระสงฆ์ท่านไม่โกหก)
แต่่ว่า พระเยซูองค์ไหน ??!! แค่นั้นเองครับ
เพราะในพระคัมภีร์องค์พระเยซูคริสต์ก็ได้เตือนไว้
ถึงเรื่อง พระคริสต์เทียมเท็จที่จะปรากฏ
พระเยซูถึงกับเตือนไว้ว่า "จงระวังให้ดี"
ผู้ที่อ้างนามพระองค์ ผู้เป็นพระเยซูเทียมเท็จ
หรือผู้ที่ปลอมตัวเป็นทูตแห่งความสว่าง
มัทธิว 24:23-24
“ในเวลานั้นถ้าผู้ใดจะบอกพวกท่านว่า 'แน่ะ พระคริสต์อยู่ที่นี่' หรือ 'อยู่ที่โน่น' อย่าได้เชื่อเลย ด้วยว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จ และผู้ทำนายเทียมเท็จหลายคนเกิดขึ้น ทำหมายสำคัญอันใหญ่และการมหัศจรรย์ ล่อลวงแม้ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลง”
ฉะนั้นเป็นเรื่องง่ายมาก ถ้ายิ่งกับผู้ที่ไม่ได้
ใกล้ชิดกับหรือสนิทกับพระเจ้าจะมีสิทธิถูกหลอกด้วยกลนี้ครับ
ฉะนั้นเป็นเรื่องง่ายมาก ถ้ายิ่งกับผู้ที่ไม่ได้
ใกล้ชิดกับหรือสนิทกับพระเจ้าจะมีสิทธิถูกหลอกด้วยกลนี้ครับ