คำพยานชีวิต
ศาสตราจารย์ แพทย์หญิง อุมาพร ตรังคสมบัติ
จิตแพทย์และอาจารย์ประจำคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ดิฉันเป็นจิตแพทย์ งานประจำคือเป็นอาจารย์ประจำสอนอยู่คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ตั้งแต่เป็นเด็กดิฉันเป็นคนช่างสงสัย เวลาเรียนหนังสือก็มักจะยกมือถามคุณครูในห้องเสมอ เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อจบชั่วโมง ดิฉันจะต้องเดินตามคุณครูไปนอกห้องเพื่อถามคำถามที่ค้างคาอยู่ จนเพื่อนๆ ตั้งสมญานามว่า "มนุษย์เจ้าปัญหา"
สองคำถามที่มีอยู่ในใจตั้งแต่เล็กก็คือ "พระเจ้ามีจริงหรือ?" และ "หากมีจริงเราจะรู้จักพระองค์ได้อย่างไร?"
ช่วงที่เรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 5-6 ดิฉันมีโอกาสอ่านหนังสือพระคริสตธรรมคัมภีร์ พบว่าหนังสือเล่มนี้น่าสนใจมาก เพราะกล่าวถึงพระเจ้าไว้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวอันน่าประทับใจเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ดิฉันชอบพระดำรัสของพระเยซูหลายตอน เช่น ที่บันทึกไว้ใน
ยอห์น 6:35 ว่า "เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่วางใจในเราจะไม่กระหายอีกเลย" และ
ยอห์น 14:6 กล่าว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา"
ด้วยความประทับใจนี้ดิฉันจึงหาโอกาสติดตามญาติไปโบสถ์และเริ่มศึกษาพระคัมภีร์อย่างจริงจัง ซึ่งก็ทำให้เรียนรู้เกี่ยวกับพระเจ้ามากขึ้น พระคัมภีร์กล่าวว่าโลกนี้และมนุษย์เราไม่ได้เกิดขึ้นเองแต่มีพระเจ้าทรงเป็นผู้สร้าง พระคัมภีร์ยังบอกอีกว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์และทรงฟังคำอธิษฐานของเรา ดิฉันจึงลองอธิษฐานดู น่าแปลกมากที่คำอธิษฐานของดิฉันได้รับคำตอบเสมอ มันทำให้ดิฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่จริงและพระองค์ทรงฟังเราอยู่ ความจริงที่ดิฉันเรียนรู้จากการศึกษาพระคัมภีร์คือ มนุษย์เราได้ทำบาปแต่พระเยซูได้ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปของเรา โดยทางพระเยซูคริสต์มนุษย์จึงมีโอกาสได้กลับคืนดีกับพระเจ้า ความจริงอีกข้อหนึ่งที่สำคัญมากคือ เราเข้าถึงพระเจ้าได้โดยตรงด้วยคำอธิษฐานโดยไม่จำเป็นต้องผ่านบุคคลอื่น ดังนั้นวันหนึ่งเมื่ออายุ 12 ปี ดิฉันได้อธิษฐานขอให้พระเจ้าเจ้ามาอยู่ในชีวิตของดิฉัน ขอพระองค์ทรงรับดิฉันเป็นลุกของพระองค์ ในการอธิษฐานครั้งนั้น ดิฉันได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และหลังจากนั้นไม่นานก็ได้เข้ารับบัพติสมา
การเชื่อในพระเจ้าทำให้ชีวิตของดิฉันเปลี่ยนแปลงไปมาก ตั้งแต่วันนั้นจนปัจจุบันนับเป็นเวลา 40 ปีแล้ว ดิฉันพบว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่จริง พระองค์ทรงทำให้ชีวิตของเราดำเนินไปอย่างมีจุดหมายและมีความหวัง ทรงทำให้ตัวตน (self) ของเราและจิตวิญญาณของเรามีความมั่นคงและสงบสุข บนถนนแห่งชีวิตที่ไม่รู้ว่าจะนำเราไปทางไหนหรือสิ้นสุดลงเมื่อไหร่และอย่างไรนั้น เราไม่ได้ดำเนินอยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่เรามีพระองค์อยู่เคียงข้าง
ในชีวิตการทำงานตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา ดิฉันต้องการให้การดูรักษาคนไข้จำนวนมากที่ป่วยด้วยโรคต่างๆ ทั้งโรคจิต โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล โรคบุคลิกภาพผิดปกติ รวมทั้งคนไข้ที่ประสบปัญหาต่างๆ เช่น ถูกทารุณทางกาย หรือถูกละเมิดทางเพศ รวมทั้งคนไข้ที่มาจากภูมิหลังที่รันทดและส่งผลให้พัฒนาการทางด้านจิตใจมีความบกพร่อง เช่น เด็กที่พ่อแม่ทอดทิ้งหรือพ่อแม่หย่าร้าง เป็นต้น ดิฉันพบว่าการเยียวยาจิตใจเป็นสิ่งที่ยากมาก แม้ในปัจจุบันจะมีการค้นพบยาใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพและรักษาอาการต่างๆได้เป็นอย่างดีก็ตาม (เช่น ยาแก้ซึมเศร้าชนิดใหม่ ที่เมื่อรับประทานเข้าไปเพียงหนึ่งหรือสองสัปดาห์ก็จะรู้สึกสดชื่นและอารมณ์เศร้าหายไป) แต่ดิฉันพบว่ายาสามารถบำบัดได้เฉพาะ "อาการ" เท่านั้น ลึกลงไปแล้วจิตใจของคนไข้ก็ยังคงบอบช้ำและว่างเปล่าอยู่ แม้การบำบัดทางจิต (psychotherapy) ที่ดิฉันทำเพื่อบำบัดคนไข้อยู่เปนประจำจะช่วยทำให้จิตใจเข้มแข็งขึ้นก็ตาม แต่มันก็เป็นการเยียวยาแบบ "ผิวเผิน" เท่านั้น บ่อยครั้งที่คนไข้กินยาหรือทำจิตบำบัดไปแล้วดูเหมือนอาการจะดีขึ้น แต่ในที่สุดอาการก็กำเริบและต้องกลับมารับการรักษาใหม่อีก
ดิฉันเชื่อว่า "การเยียวยา" ที่แท้จริงนั้นต้องเป็นการเยียวยาในระดับ "จิตวิญญาณ" กล่าวคือจิตวิญญาณของเราต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่จึงจะดำเนินชีวิตได้อย่างสงบสุข ดิฉันเชื่อว่าพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเยียวยาได้ การเยียวยาของพระองค์ไม่ใช่สำหรับคนไข้เท่านั้น แต่สำหรับเราทุกคนซึ่งได้ชื่อว่าเป็นคน "ปกติ" ด้วย ดิฉันเชื่อว่าเราทุกคนมีบางสิ่งบางอย่างในชีวิตที่จำเป็นต้องการได้รับการเยียวยา
ในพระคัมภีร์ 2 โครินธ์ 5:17 กล่าวว่า "ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดเก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะ! กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น" พระคัมภีร์ตอนนี้บอกว่า พระเจ้าทรงสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราให้เป็นชีวิตใหม่ได้
หากท่านแสวงหาพระเจ้าอย่างจริงจัง ดิฉันเชื่อว่าท่านจะพบพระองค์ เช่นเดียวกับที่ดิฉันพบ ชีวิตของท่านจะได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ เป็นชีวิตที่มีความหมายและเต็มบริบูรณ์อย่างแน่นอน