พระคัมภีร์น่าเชื่อถือจริงหรือ ?


ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มีความขัดแย้งระหว่างคนที่เชื่อพระเจ้า และคนที่ไม่ยอมรับพระเจ้ามาอย่างต่อเนื่อง และการต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่าย มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่พระคำของพระเจ้า หรือพระคัมภีร์ เพราะซาตานเกลียดชังพระคำของพระเจ้า เพราะพระคำของพระองค์บอกให้เรารู้เรื่องของพระเยซูคริสต์ การช่วยกู้ ความรอด และชีวิตนิรันดร์ มันจึงพยายามที่จะทำลายพระคัมภีร์ในทุกวิถีทาง

ตลอดสองพันกว่าปีที่ผ่านมา การต่อต้านพระคัมภีร์เกิดขึ้นอย่างรุนแรง ในช่วงศตวรรษแรก จากคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า แต่ในช่วงหนึ่งร้อยห้าสิบปีที่ผ่านมา ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดต่อกางเขนของพระเจ้า คือคนที่ประกาศตัวว่าเป็นคริสเตียน ติดตามพระเยซูคริสต์ แต่ข้างในปฏิเสธความเป็นพระเจ้าของพระองค์ และไม่เชื่อในสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์

ในศตรวรรษแรก จักรพรรดิแห่งอาณาจักรโรม พยายามที่จะทำลายความเชื่อของคริสเตียนทุกวิถีทาง ฆ่าและเผาคริสเตียน รวมทั้งพยายามเผาทำลายต้นฉบับของพระกิตติคุณ และจดหมายเหตุของอัครทูต แต่คริสเตียนในยุคแรก ต่างช่วยกันปกป้องรักษาพระคำของพระเจ้า โดยการเขียน บันทึก และแปลพระคำออกเป็นหลายภาษา ในเอกสาร ในจดหมาย ส่งกระจายออกไปทั่วราชอาณาจักรโรม และเมืองอื่นๆ ข้อพระคำในพระคัมภีร์ใหม่ ถูกกล่าวอ้างถึงในเอกสารและหนังสือต่างๆ มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าคริสเตียนจะเขียนอะไร ก็จะกล่าวอ้างถึงพระคำในพระคัมภีร์ใหม่ นักประวัติศาสตร์ได้ค้นพบ สำเนาต้นฉบับพระคัมภีร์ เอกสาร บันทึก และจดหมายเหตุ ที่ถูกเขียนโดยคริสเตียนในสองศตวรรษแรก ถึงเกือบแสนฉบับ คริสเตียนในยุคแรกนี้รักและทุ่มเทต่อพระคำของพระเจ้ามาก จนกระทั่ง ไม่ว่าจะบันทึก หรือเขียนจดหมายอะไร เขาจะกล่าวถึงพระคำของพระเจ้าที่มาจากพระคัมภีร์ต้นฉบับ คำต่อคำ ไม่ผิดเพี้ยน ข้อความในพระคัมภีร์ถูกกล่าวอ้างอย่างมากในทุกเอกสาร ที่ถ้าแม้จักรพรรดิโรมจะสามารถเผาพระคัมภีร์ต้นฉบับได้ทั้งหมด พระคำของพระเจ้าก็จะยังคงอยู่ เพราะถูกบันทึก และรักษาในเอกสาร และจดหมายเหตุที่คริสเตียนในยุคแรกช่วยกันเขียน เมื่อนักประวัติศาสนตร์นำจดหมาย และเอกสารที่ถูกค้นพบมาเทียบกับข้อความในพระคัมภีร์ใหม่ พบว่า เอกสารเหล่านั้นมีข้อพระคำของพระเจ้าบันทึกอยู่รวมๆ กันแล้วถึง 98% การค้นพบเอกสาร และจดหมายเหตุเหล่านี้ เป็นหลักฐานยืนยันความเที่ยงตรง และความน่าเชื่อถือของพระคัมภีร์ใหม่

ถึงแม้จักรพรรดิโรมพยายามอย่างมากที่จะทำลายคริสเตียนและพระคำของพระเจ้าใน ช่วงสามศตรวรรษแรก แต่ในที่สุดคริสตศาสนาก็กลายมาเป็นศาสนาประจำอาณาจักรโรม เมื่อจัรกพรรดิคอนแสตนตินกลับใจเป็นคริสเตียนในปี ค.ศ. 325 แต่อย่างไรก็ดี ในสมัยกลาง (Medieval ช่วง ค.ศ. 500 ถึง 1500) ผู้นำคริสตจักรและศาสนาในยุโรป ได้บิดเบือนพระคำของพระเจ้า และละทิ้งความเชื่อดั้งเดิม หันไปแสวงหาอำนาจทางการเมือง ทั้งกษัตริย์ ผู้นำ ทางการเมือง และศาสนาร่วมมือกันออกกฎหมาย ไม่ให้ประชาชนมีพระคัมภีร์ไว้ในครอบครอง เพราะไม่อยากให้ประชาชนรู้ว่า พฤติกรรมของผู้นำเหล่านั้น ผิดต่อพระคำของพระเจ้า ผู้ที่ฝ่าฝืนมีพระคัมภีร์ในครอบครองจะถูกลงโทษโดยการเผาทั้งเป็น แม้แต่นักบวชเองก็ไม่สามารถอ่านพระคัมภีร์ได้ คนในยุคนี้ไม่รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูกในสายตาของพระเจ้า เพราะไม่สามารถอ่านพระคัมภีร์ได้ มีคริสเตียนไม่กี่คนในปัจจุบันที่รู้ว่า ในอิตาลี การมีพระคัมภีร์ในครอบครองเป็นสิ่งผิดกฎหมาย จนถึงปี ค.ศ. 1870

ในที่สุด หลังจากเกือบหนึ่งพันปีของยุคมืด Martin Luther ผู้นำการปฏิวัติทางคริสตศาสนา (the Protestant Reformation) ได้นำพระคัมภีร์ฉบับภาษาลาตินออกมาเปิดเผย และแปลเป็นภาษาเยอรมัน ฝรั่งเศส และอังกฤษ การปฏิวัติครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของความเชื่อและพฤติกรรมของ คริสเตียนที่ถูกกดขี่โดยผู้นำทางศาสนาในยุคมืด และทำให้คำสอนของคริสตศาสนาต้องยึดหลัก และความจริงจากพระคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์เท่านั้น การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้หนุนใจให้นักเทศน์หันมาประกาศข่าวประเสริฐขององค์พระ เยซูคริสต์ ในทุกพื้นที่ของยุโรป และมีคนกลับใจมาเป็นคริสเตียนอย่างล้นหลาม

แม้ว่าชาวตะวันตกในศตวรรษที่ผ่านมาจะหลั่งไหลกันกลับใจมาเชื่อพระเจ้า แต่คนมากมายในปัจจุบันกลับปฏิเสธ ไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง และไม่เชื่อว่าพระองค์สร้างโลกและจักรวาล ยิ่งไปกว่านั้น คนเหล่านี้พยายามที่จะริดรอน ความน่าเชื่อถือ และฤทธิ์เดชของพระคัมภีร์ โดยกล่าวหาว่า พระคัมภีร์เต็มไปด้วยคำโกหก ข้อผิดพลาด ความขัดแย้ง ความเสียหายที่เกิดจากความพยายามที่จะทำลายฤทธิ์อำนาจของพระคัมภีร์นี้ไม่ ได้มาจากองค์กรภายนอก และคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าเท่านั้น แต่มาจาก คริสเตียน ศิษยาภิบาล และนักปรัชญาทางคริสตศาสนา จำนวนมากที่ขาดความเชื่อในพระเจ้า และฤทธิ์เดชของพระคำของพระองค์

Professor E.B. Pusey เป็นผู้หนึ่งที่เชี่ยวชาญในการค้นคว้าหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความเที่ยงตรง ของพระคัมภีร์กล่าวว่า ความเชื่อของคริสเตียนและความน่าเชื่อถือของพระคัมภีร์ไม่สามารถที่จะถูกทำ ร้ายจากคนภายนอกได้ แต่จะถูกทำลายเพราะคริสเตียนที่ขาดความเชื่อ ที่ไม่สามารถปกป้องพระคำของพระเจ้า

สิ่งที่น่าละอาย คือนักเทศน์ และศาสตราจารย์ที่สอนคริสตศาสนศาสตร์ ที่ขาดความเชื่อในฤทธิ์เดชและสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์ ยังคงดันทุรังที่จะเทศน์ ที่จะสอนพระคำของพระเจ้า คนที่ไม่เคยเชื่อ และคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า จะไม่มีวันกลับใจ และยอมรับพระเยซูคริสต์ จากคำเทศนาและคำสอนของบุคคลที่ขาดความเชื่อเหล่านี้
ภายหลังการโจมตี ต่อต้านพระคัมภีร์ในช่วงร้อยห้าสิบปีที่ผ่านมา ศิษยาภิบาลและศาสตราจารย์ที่สอนศาสนศาสตร์จำนวนมาก เริ่มขาดความเชื่อมั่นในพระคัมภีร์ Jeffrey Haddon นักสังคมวิทยาชาวอเมริกัน ได้ทำแบบสำรวจในหมู่ผู้รับใช้นิกายโปรเตสแตนท์ในอเมริกากว่าหนึ่งแสนคนในปี 1965 คำถามในแบบสำรวจมีอยู่สามข้อคือ

1. พระเยซูคริสต์เกิดโดยหญิงพรหมจารีย์ใช่ไหม
2. พระเยซูคริสต์คือพระบุตรของพระเจ้าใช่ไหม
3.พระคัมภีร์ถูกเขียนโดยได้รับการดลใจจากพระเจ้าใช่ไหม

ผู้รับใช้มากกว่าครึ่งไม่สามารถตอบว่า "เห็นด้วยที่สุด" แต่ตอบว่า "เห็นด้วยบางส่วน" หรือ "ไม่เห็นด้วย" ต่อสามคำถามนี้ ในขณะที่ผู้รับใช้ส่วนใหญ่ในศตวรรษก่อน จะต้องตอบว่า "เห็นด้วยที่สุด" อย่างแน่นอน

พระคัมภีร์เดิม ได้ถูกกล่าวหาอย่างมากว่า เป็นเรื่องแต่งขึ้น โดยเฉพาะหนังสือดาเนียล ว่าถูกเขียนขึ้น165 ก่อนพระเยซูประสูติ (เพราะคำทำนายมากมายของดาเนียลเกิดขึ้นจริง) ความเที่ยงตรงและแม่นยำของพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม ได้รับการยืนยันจากองค์พระเยซูคริสต์และอัครทูต ว่าเป็นพระคำของพระเจ้าและได้รับการดลใจจากพระองค์ให้ถูกเขียนขึ้น
ในลูกา 24 และ ยอห์น 5:46,47 พระเยซูยืนยันว่าโมเสสเป็นผู้เขียนธรรมบัญญัติทั้งห้าเล่ม
ในมัทธิว 13:14 พระเยซูบอกว่าอิสยาห์เป็นผู้เขียนหนังสืออิสยาห์
ในมัทธิว 24:15 พระเยซูยืนยันว่าดาเนียลเขียนหนังสือดาเนียล (ลบคำกล่าวหาของผู้ที่โจมตีหนังสือดาเนียล) พระเยซูได้กล่าวถึงอาดัม เอวา และอาเบล ในมัทธิว 19:4,5 23:35
ในลูกา 17:26,28 พระองค์กล่าวอ้างถึงโนอาห์และโลท
ในยอห์น 8:56-58 พระองค์ยืนยันชีวิตของอับราฮัม สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งคือ พระเยซูได้ยืนยันการทรงสร้างโลกและมนุษย์ของพระเจ้าใน มาระโก 10:6-9
และเหตุการณ์น้ำท่วมโลกใน มัทธิว 24:37-39
ยังมีพระคำอีกมากมายที่พระเยซูคริสต์ได้ยืนยันถึงเหตุการณ์อัศจรรย์ที่เกิด ขึ้นในพระคัมภีร์เดิม เช่น
การลงโทษเมืองโสโดมและโกโมราห์ (ลูกา 17:29)
การเลี้ยงดูของพระเจ้าด้วยมานา (ยอห์น 6:32) และการรักษาจากพิษงู (ยอห์น 3:14)
ชีวิตของเอลียาห์ และเอลีชา (ลูกา 4:25-27)
และการที่โยนาห์ถูกปลากลืน (มัทธิว 12:39,40)
แม้ว่าพระเยซูคริสต์จะยืนยันและกล่าวอ้าวถึงบุคคลและเหตุการณ์ต่างๆ มากมายในพระคัมภีร์เดิม ก็ยังมีผู้รับใช้ และคริสเตียนหลายคนที่ไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านั้น เกิดขึ้นจริง โดยเฉพาะการทรงสร้างของพระเจ้า มีคริสเตียนหลายคนที่เชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการของโลก ถ้าเราเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า เราควรจะเชื่อในสิ่งที่พระองค์ตรัสและยืนยันด้วยเช่นกัน

ในส่วนของพระคัมภีร์ใหม่ แม้นักวิชาการที่ไม่เชื่อพระเจ้า ก็ยอมรับว่า หนังสือต่างๆ ในพระคัมภีร์ใหม่ได้ถูกเขียนขึ้นและได้ถูกส่งเวียน แพร่หลายในหมู่คริสเตียนในจักรวรรดิโรมัน ภายในระยะเวลาสี่สิบถึงห้าสิบปีหลังจากเหตุการณ์ที่ถูกบันทึกนั้น ผู้เชื่อหลายพันคนที่มีชีวิตอยู่ และเห็นเหตุการณ์ ในช่วงเวลาที่พระเยซูคริสต์ทำพันธกิจ การสิ้นพระชนม์ การฟื้นคืนพระชนม์ และการเสด็จสู่สวรรค์ ยังมีชีวิตอยู่ในเวลาที่อัครทูต และอาจารย์เปาโลเขียนพระกิตติคุณและจดหมายเหตุ หนังสือและจดหมายเหตุเหล่านี้ได้ถูกคัดลอกอย่างระมัดระวัง ถูกส่งเวียนกันอ่านในหมู่คริสเตียนทุกวันอาทิตย์ และถูกส่งไปยังชาวต่างชาติและชาวยิวหลายล้านคนที่เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ จากทางเหนือของประเทศอังกฤษ จนถึงทะเลทรายในแถบซีเรีย และทางเหนือของทวีปแอฟริกา แม้แต่ศัตรูของพระเยซู นักประวัติศาสตร์ชาวโรมัน ต่างก็ยอมรับว่ามีคนกลับใจมาเป็นคริสเตียนเป็นจำนวนมากทั่วอาณาจักรโรมันใน เวลานั้น

ถ้าสิ่งที่ถูกบันทึกในพระคัมภีร์ใหม่ไม่เป็นจริง เรื่องของพระเยซูคริสต์ถูกแต่งขึ้น เปลี่ยนแปลง บิดเบือน คงจะมีความขัดแย้ง ความแตกแยกเกิดขึ้น ในเรื่องของความจริง และรายเอียดในคำสอน ในหมู่คริสเตียนยุคแรก เพราะหนังสือต่างๆ จะมีข้อมูลที่ไม่ตรงกัน แต่คริสเตียนในอาณาจักรโรมที่กว้างใหญ่ ในหลายประเทศ ต่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ยอมถูกทรมานอย่างทารุณ ยอมตาย แต่ไม่ยอมละทิ้งความเชื่อ เมื่อถูกข่มเหงโดยจักรพรรดิโรม แต่พระคัมภีร์ใหม่ ก็ยังอยู่สืบๆ ต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ และได้รับการยอมรับจากนักประวัติศาสตร์โรม

นอกจากนี้ หนังสือต่างๆ ในพระคัมภีร์ใหม่ ยังได้ถูกคัดลอกด้วยความระมัดระวัง แปลตรงตัว คำต่อคำ และแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย ระหว่างปี ค.ศ.60-70 เช่น ภาษาซีเรีย อียิปต์ อาราบิค เอธิโอเปีย อาร์มีเนียน เปอร์เชียน โกธิค สโลวานิค ลาติน และฮีบรู หนังสือที่ถูกแปลเหล่านี้ได้ถูกส่งไปยังประเทศต่างๆ มากมาย ไม่มีใครที่จะสามารถบิดเบือนข้อความในพระคัมภีร์ใหม่ได้ เพราะมีสำเนาหลายสำเนา ในหลายภาษาที่สามารถนำมาเปรียบเทียบ ความถูกต้อง เพราะความรักในพระคำของพระเจ้า ทำให้คริสเตียนในยุคแรกช่วยกันบันทึก คัดลอก และแปลพระคำของพระเจ้า ทำให้พระคัมภีร์กระจายไปยังประเทศต่างๆ ทั้งยูเดีย สะมาเรีย และสุดปลายแผ่นดินโลก และทำให้เรามีพระคัมภีร์ได้ในทุกวันนี้

นักเขียนชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงโด่งดัง มีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1694- 1778 นามปากกา Voltaire ซึ่งเป็นผู้ที่เกลียดชัง และต่อต้านพระคัมภีร์อย่างมาก ได้เขียนคำทำนายเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไว้ว่า ในหนึ่งร้อยปีหลังจากยุคของเขา คริสเตียนจะสูญหายไป เหลือเพียงแค่ความทรงจำ แต่ในทุกวันนี้คริสตศาสนาเป็นศาสนาที่โตอย่างรวดเร็วที่สุด สถิติบอกว่า ในแต่ละวัน มีคนกลับใจเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ถึง 85,000 คนทั่วโลก และเป็นเรื่องแปลกที่ในพิพิธภัณฑ์ห้องสมุดของ Voltaire มีผู้นำพระคัมภีร์มาวางไว้หลายพันเล่มจากพื้นสูงจนถึงเพดาน

แม้ซาตานและคนที่ไม่เชื่อต่างต่อต้านพระคัมภีร์อย่างหนักหน่วงและไม่หยุด ยั้ง พระคัมภีร์ยังคงเป็นหนังสือที่ถูกพิมพ์มากที่สุด ถูกอ่านมากที่สุด และมีอิทธิพลในการเปลี่ยนแปลงชีวิตคนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ พระคำของพระเจ้ายังมีฤทธิ์อำนาจเปลี่ยนแปลงประเทศชาติ และอาณาจักรต่างๆ อีกด้วย

เมื่อประเทศแอฟริกาส่งทูตไปเฝ้าพระราชินีวิคตอเรีย (ครองราชย์ในประเทศอังกฤษในปี ค.ศ. 1819-1901) พระราชินีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศอังกฤษ ทูตแอฟริกันถามคำถามที่กษัตริย์แอฟริกาฝากมาถามพระองค์ว่า อะไรคือเคล็ดลับในอำนาจและความสำเร็จของประเทศอังกฤษที่ขยายดินแดนไปทั่ว ทั้งโลก พระราชินีวิคตอเรียหยิบพระคัมภีร์ขึ้นมาและตอบว่า กลับไปบอกกษัตริย์ของท่านว่า หนังสือเล่มนี้คือเคล็ดลับแห่งความสำเร็จของประเทศอังกฤษ

---
โดย อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์
http://www.truelove2u.com/webboard-BIBLE-1-252029-1.html