ไม่แพ้ แม้เจ็บป่วย



มื่อวันที่ชีวิตเดินเข้ามาถึงจุดเปลี่ยน
จนบางครั้งคนเราไม่ทันได้ตระเตรียมหัวใจ
ความสุข ความทุกข์ ไม่มีใครรู้ว่าจะมาเมื่อไหร่
จะยอมรับความจริงที่เจอได้แค่ไหน
เพราะชีวิตคือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป
มีสุขสมมีผิดหวัง หัวเราะหรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน
อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน
ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
(เพลง Live & Learn เนื้อร้องและทำนองโดย คุณบอย โกสิยพงษ์)

บทเพลงโด่งดังข้างต้นกำลังบอกเราถึงความไม่แน่นอนของชีวิต  เราไม่รู้ว่าวันไหนจะพบความสุข วันไหนจะประสบความทุกข์  เราควรจะเตรียมใจเผชิญกับสิ่งที่ไม่คาดฝันอย่างมีสติ

เช่นเดียวกันกับเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งเป็นเรื่องไม่แน่นอนที่อยู่เคียงคู่กับมนุษย์มาตั้งแต่เกิด  ยิ่งในยามที่โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว  โรคร้ายนานาชนิดก็ทวีมากขึ้น  มันสามารถทำลายทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยและคนใกล้ชิดอย่างไม่ทันตั้งตัว ในยามนั้น มีคำถามมากมายที่เข้ามาในความคิดของเรา

ทำไมต้องเป็นฉัน ?
ฉันกำลังจะตายหรือนี่ ?
ครอบครัวจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีฉัน ?
ใครจะช่วยดูแลฉันเมื่อฉันเจ็บหนัก ?
ฉันจะอยู่ในสภาพไหนในวันสุดท้าย ?
คนจะรังเกียจฉันไหม ?
เมื่อตายแล้ว ฉันจะไปที่ไหน ?

ร้อยแปดคำถามหลั่งไหลเข้ามาในความคิดของเราขณะถูกคุกคามด้วยโรคร้าย ความกลัวและความวิตกกังวลในจิตใจอาจทำให้อาการเจ็บป่วยทางกายทรุดลงไปอีก  ผู้จัดทำหนังสือเล่มนี้ได้รู้จักกับหลายครอบครัวที่เผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บขั้นร้ายแรง และเราได้รับอนุญาตให้ถ่ายทอดเรื่องราวของเขาเพื่อให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่กำลังเผชิญสภาวะเดียวกัน


เรื่องของ "ดาว"

"ดาว"(นามสมมุติ)  คุณแม่สาวสวยวัย 40 ปี และ "น้องบอล" ลูกชายคนเล็ก  ทั้งคู่ติดเชื้อ HIV จากพ่อของน้องบอล  ชีวิตของทั้งสองคนเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายที่ไม่รู้ว่าจะขาดลงในวันใด  แต่ทั้งดาวและลูกได้ผ่านวันอันเลวร้ายที่แสนเจ็บปวดทุกข์ทรมานมาได้ และมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งอย่างอัศจรรย์

"น้องบอล" เริ่มแสดงอาการเมื่ออายุ 2 ขวบ 8 เดือน และอยู่ในสภาพผอมแห้ง มีแต่หนังหุ้มกระดูก เลือดไหลออกจากปากเพราะเป็นเชื้อรา  ด้านนอกริมฝีปากเต็มไปด้วยแผล ทานอาหารไม่ได้ และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ  เมื่อรักษาไปได้ระยะหนึ่ง ทีมแพทย์บอกว่า น้องบอลจะมีชีวิตอยู่อีกไม่เกิน 3 วันเท่านั้น  ทุกอย่างดูสิ้นหวัง หัวใจของแม่จะแตกสลาย ความหวังสุดท้ายก็มาถึงทันเวลา...เมื่อดาวได้รับการแนะนำให้รู้จักพระเจ้าและเต็มใจให้มีการอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อเธอกับลูก  แล้วการอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น

ปี 2007 น้องบอลอายุครบ 6 ขวบ จาก 3 วัน ผ่านไป 3 ปี น้องบอลแข็งแรง  น้ำหนัก 18 กิโลกรัมที่สมส่วนและสมวัย  ผิวพรรณสดใสไม่มีริ้วรอย  ฉลาดหลักแหลม  พูดจาฉาดฉาน และว่องไว จนแทบจะคิดไม่ออกเลยว่า เด็กคนนี้เฉียดความตายมาแล้วอย่างน่าเวทนา  ผลการวัดปริมาณไวรัสในเลือดหาไม่พบแล้ว  ขณะที่ปริมาณเม็ดเลือดขาวก็เพิ่มขึ้น จนปัจจุบันนับได้ถึง 1,000 กว่า
น้องบอลบอกว่า "พระเยซูช่วยหนูเอาไว้  หนูไม่สบาย  หนูไปนอนตรงนั้น ตอนนั้นเจ็บแขน เจ็บขา เจ็บปาก ปากมันลอกออกมา มีเลือดแดงออกมา...ตอนนั้น 2 ขวบ ฉีดยาเจ็บมาก  พระเยซูอยู่ใกล้หนู  หนู้เห็นพระเยซู  ฝันเห็นพระเยซูมาหา  พระเยซูใส่เสื้อสีขาว  หนูจำหน้าพระเยซูได้  จำได้จากบนสวรรค์  หนูเห็นจากรูป  พระเยซูก็อธิษฐานให้หนูหายเร็ว ๆ ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล  พระเยซูไม่ดุ  ตอนนี้ไม่เจ็บแล้ว  หนูรักพระเยซู เพราะว่าพระเยซูทำให้หนูฟื้นมาได้  เมื่อก่อนหนูแขนเล็กนิดเดียว  พระเยซูให้หนูมีเนื้อขึ้นมา"

ดาวกล่าวว่า "อยากจะบอกกับเพื่อน ๆ ผู้ติดเชื้อว่า อย่าท้อแท้  ความวิตกและความเครียดจะยิ่งทำให้อาการแย่ลงไปอีก  แม้เราจะมีเชื้อนี้อยู่ในตัว  เราก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานถึง 20-30 ปี  โรคนี้แพ้กำลังใจ  เราต้องพยายามที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อคนที่เรารัก เช่น พ่อ แม่ และลูก  ที่สำคัญที่สุด ดาวอยากให้ทุกคนได้รู้จักพระเจ้าเป็นการส่วนตัวเหมือนดาว  เพราะพระเจ้าเป็นพระเจ้าเหนือปัญหาทั้งปวง เพราะดาวได้รู้จักพระเจ้า  ดาวจึงได้พบกับความรักแท้  ความเอื้ออาทร  และมีที่พักพิงในชีวิต และโรคร้ายก็กลายเป็นเรื่องเล็ก


เรื่องของเอิร์ธ

"วันเฉลิม สารกิติพันธ์ (เอิร์ธ)" เด็กหนุ่มวัย 15 ปี ผู้เป็นที่รักของครอบครัว เพื่อน ๆ และคุณครู  เขาล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งในสมอง  เอิร์ธต้องได้รับการผ่าตัดสมองถึงสองครั้ง  หลังการผ่าตัดแต่ละครั้ง  เอิร์ธต้องต่อสู้กับสภาวะความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ทั้งด้านการมองเห็น  การได้ยิน  การรับประทานอาหาร และการเขียนหนังสือ  แต่กระนั้น ด้วยความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า เอิร์ธเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ด้วยความเข้มแข็งและกล้าหาญ  ความเจ็บป่วยของเอิร์ธทำให้คุณพ่อเลิกจากสิ่งมึนเมาทุกชนิด เลิกเที่ยวเตร่ มีจิตใจสงบและหันมาหาพระเจ้าอย่างจริงจัง  ส่วนคุณแม่และพี่ชายก็ตัดสินใจเชื่อไว้วางใจพระเจ้า เป็นความสุขที่เกิดขึ้นท่ามกลางความทุกข์  เอิร์ธได้บอกกับพ่อแม่ว่า "ถ้าพระเจ้ามีพระประสงค์ให้เอิร์ธมีชีวิตอยู่ในโลกนี้   เอิร์ธก็จะอยู่และรับใช้พระเจ้า  ถ้าหากพระเจ้าจะให้เอิร์ธจากโลกนี้ไป  เอิร์ธก็จะไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์  ไม่ว่าเอิร์ธจะเป็นหรือตาย เอิร์ธก็จะได้อยู่กับพระเจ้าเสมอ"

เอิร์ธจากไปอยู่กับพระเจ้าเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์  ค.ศ. 2000 ด้วยใบหน้าที่สดใส  เพราะเอิร์ธมั่นใจว่า พระเจ้ารอเขาอยู่และเขาก็จะได้พบกับครอบครัวของเขาอีกครั้งบนสวรรค์  เอิร์ธเป็นเพียงผู้ที่เดินทางล่วงหน้าไปก่อนคนอื่น ๆ ในครอบครัวเท่านั้น

ชีวิตของเอิร์ธยืนยันได้ว่าความตายฝ่ายร่างกายไม่ใช่จุดจบที่น่าสะพรึงกลัวและไม่ใช่ความพ่ายแพ้ของชีวิต  แต่ความตายต่างหากที่เป็นผู้แพ้ เพราะการเชื่อและไว้วางใจในพระเจ้า ทำให้เอิร์ธได้รับชีวิตใหม่ที่ได้อยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์ตลอดไป


ถ้าพระเจ้ารักฉัน ทำไมต้องให้ฉันเจ็บป่วยเช่นนี้ด้วย

หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่าตนทำอะไรผิด จึงต้องมาเจ็บป่วยอย่างนั้น  พระคัมภีร์ได้บันทึกเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าและมาบังเกิดเป็นมนุษย์  พระเยซูทรงเห็นใจคนเจ็บป่วย  มีคนจำนวนมากที่ทุกข์ทรมานด้วยความเจ็บป่วยและความพิการได้มาหาพระองค์  ทั้งคนตาบอด  คนแขนขาพิการ  คนเป็นง่อย  ผู้หญิงที่ตกเลือดเป็นเวลา 12 ปี  คนเป็นโรคลมบ้าหมู  เด็กที่เป็นไข้หนัก  หรือคนที่เป็นโรคผิวหนังร้ายแรง
พระเยซูทรงสงสารพวกเขาและให้เวลาเพื่อช่วยเหลือเขา  พระองค์จับมือคนที่เดินไม่ได้และพยุงให้เขาลุกขึ้นเดิน  พระองค์ปลอบใจเขาเหล่านั้นให้มีความหวังและกำลังใจ  ให้เขาเห็นคุณค่าและศักดิ์ศรีของตนเอง  แท้จริงแล้วแม้พระองค์เองจะเป็นพระเจ้า  พระองค์ก็คุ้นเคยกับความเจ็บปวด  และที่ไม้กางเขนนั้นพระองค์ทรงรับความเจ็บปวดทรมานถึงที่สุดดังที่บันทึกไว้ว่า

ท่าน(พระเยซู)ได้ถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอดทิ้ง
เป็นคนที่รับความเจ็บปวด และคุ้นเคยกับความเจ็บไข้
และดังผู้หนึ่งซึ่งคนทนมองดูไม่ได้
ท่านถูกดูหมิ่น และเราทั้งหลายไม่ได้นับถือท่าน
แน่ทีเดียวท่านได้แบกความเจ็บไข้ของเราทั้งหลาย
และหอบความเจ็บปวดของเราไป
กระนั้นเราทั้งหลายก็ยังถือว่าท่านถูกตี
คือพระเจ้าทรงโบยตีและข่มใจ
(อิสยาห์ 53:3-4)

ความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าไม่รักเรา  หรือเราถูกพระเจ้าลงโทษ  แม้แต่ผู้ที่เชื่อไว้วางใจในพระเจ้าก็ยังพบกับความเจ็บป่วยร้ายแรงได้ แต่ในเวลาเช่นนั้นกลับเป็นเวลาที่ยืนยันว่าพระเจ้าทรงห่วงใยและสำแดงให้เรารู้อย่างแน่ชัดว่าพระองค์ไม่เคยทอดทิ้งเราเลย  พระองค์ไม่ได้ปล่อยให้เราเผชิญกับมันเพียงฝ่ายเดียว  พระองค์อยู่กับเรา เจ็บด้วยกันกับเรา  หลายคนได้พบว่าท่ามกลางความเจ็บป่วยที่เขาประสบอยู่  เขาได้สัมผัสกับการช่วยเหลือพิเศษจากพระเจ้า  ทำให้เขามีกำลังใจที่จะต่อสู้ต่อไป  ร่างกายที่อ่อนแอเจ็บไข้ของเขากลับทำประโยชน์ให้กับคนรอบข้างและสังคมได้อย่างมากมาย  เขาสามารถเข้าใจและให้กำลังใจกับคนที่ต้องเผชิญสิ่งเดียวกับเขา


พระเจ้าให้ความมั่นใจแก่เรา

"แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช
ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ
เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์..."
(สดุดี 23:4)

"เมื่อเขานอนเจ็บ  พระเจ้าทรงค้ำจุนเขา
เมื่อเขาป่วยไข้ พระองค์ทรงรักษาความเจ็บไข้ทั้งสิ้นของเขาให้หาย"
(สดุดี 41:3)


"แล้วฉันจะทำอย่างไรดี"
สิ่งแรกคือยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น ตั้งสติของคุณให้มั่นคง แม้การยอมรับความจริงนั้นจะทำให้คุณเจ็บปวด แต่ก็น้อยกว่าการหลอกตนเอง

ต่อมาต้องรวบรวมกำลังใจ เพื่อตั้งรับกับโรคร้ายที่คุณเผชิญอยู่ อย่าปิดกั้นตนเอง แต่ควรบอกกับญาติสนิท มิตรที่ใกล้ชิดว่าคุณกำลังเผชิญกับอะไรอยู่  การที่คุณเปิดโอกาสให้เขาได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคุณในช่วงเวลานี้  คุณอาจจะพบว่าญาติและเพื่อนสนิทของคุณเข้าใจและให้กำลังใจคุณได้ดีกว่าที่คุณคิดเสียอีก

ไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาและทราบวิธีดูแลตนเองอย่างถูกต้อง เพื่อจะใช้ชีวิตอย่างรู้เท่าทันโรคนั้น การไปพบแพทย์ตามนัดก็เป็นสิ่งสำคัญด้วยเช่นกัน

หาโอกาสคุยกับคนที่เผชิญปัญหาเช่นเดียวกับคุณ ให้กำลังใจกันและกัน ซึ่งคุณจะพบว่าเมื่อคุณสนใจช่วยเหลือผู้อื่น  ความกังวลใจเกี่ยวกับตนเองก็จะลดน้อยลง

นอกจากนี้ คุณสามารถพูดกับพระเจ้าได้ แม้คุณจะยังไม่รู้จักพระองค์ก็ตาม  พระองค์พร้อมที่จะรับฟังความทุกข์ของคุณ ยิ่งกว่านั้นพระองค์พร้อมที่จะช่วยคุณและจะนำคุณให้ผ่านวันเวลาเหล่านั้นไป  คุณสามารถขอให้พระเจ้าประทานกำลังใจที่เข้มแข็ง  เปลี่ยนความทุกข์ใจเป็นความหวังใจในชีวิต และเปลี่ยนความคิดในทางลบต่อตนเองเป็นความคิดในทางบวก...แน่นอน ที่ร่างกายของเราจะต้องเสื่อมสลายไปด้วย แม้การมีชีวิตอยู่ในโลกนี้จะสำคัญที่สุดสำหรับเราในเวลานี้  แต่จิตวิญญาณของเราจะไม่สูญสลายไปด้วย  แม้การมีชีวิตอยู่ในโลกนี้จะสำคัญที่สุดสำหรับเราในเวลานี้  แต่ชีวิตหลังความตายก็มีจริงและเป็นเรื่องสำคัญซึ่งเราไม่เคยละเลย

"เพราะเขาจะได้ประโยชน์อะไร
ถ้าได้สิ่งของหมดทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตของตน? 
หรือคนนั้นจะนำอะไรไปแลกชีวิตของตนกลับคืนมา?"
(มัทธิว 16:26)

“เพราะเหตุนี้ เราบอกท่านทั้งหลายว่า 
อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม
และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม
ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารไม่ใช่หรือ?
และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มไม่ใช่หรือ?
จงดูนกทั้งหลายบนฟ้า พวกมันไม่ได้หว่าน ไม่ได้เกี่ยว ไม่ได้รวบรวมไว้ในยุ้งฉาง
แต่พระบิดาของพวกท่าน ผู้สถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงพวกมันไว้
ท่านไม่ประเสริฐกว่าพวกมันหรือ?
มีใครในพวกท่านที่โดยความกระวนกระวาย
สามารถต่ออายุของตนให้ยืนนานขึ้นอีกนิดหนึ่งได้"
(มัทธิว 6:25-27)

“เพราะฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงวันพรุ่งนี้ 
เพราะว่าพรุ่งนี้ก็มีเรื่องกระวนกระวายของมันเอง 
แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว"
(มัทธิว 6:34)

-------
จากหนังสือ "ดูเหมือนแพ้ที่แท้คือชนะ" หน้า 16-23 โดย สมาคมพระคริสตธรรมไทย

ไม่แพ้ แม้สิ้นหวัง



นแต่ละวันของแต่ละคน มีหลายสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกสิ้นหวัง จนบางครั้งไม่มีเรี่ยวแรงที่จะก้าวต่อไป  สิ่งที่เราต้องการ คือ ทางออกที่สว่างสุกใส ... แต่ดูเหมือนข้างหน้ามีแต่ความมืดมิดและหลายครั้งสุดทางนั้นก็ยังเป็นทางตันเสียอีก  คุณอาจจะเป็นคนหนึ่งที่กำลังรู้สึกเช่นนั้น  คุณต้องการใครสักคนที่จะช่วยคุณแก้ปัญหาหรือพลิกสถานการณ์ให้ดีขึ้น หรืออะไรสักอย่างที่จะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้น

คุณคงจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดของคนสิ้นหวังจากข้อความเหล่านี้

"เพราะจิตใจของข้าพระองค์ลำบากเต็มที
และชีวิตของข้าพระองค์เข้าใกล้แดนผู้ตาย" (สดุดี 88:3)

"ข้าแต่พระเจ้า  ไฉนพระองค์ทรงเหวี่ยง   ข้าพระองค์ออกไปเสีย
ไฉนพระองค์ทรงซ่อนพระพักตร์เสียจากข้าพระองค์
พระองค์ทรงให้คนรักและสหายห่างเหินจากข้าพระองค์
พวกเพื่อนของข้าพระองค์อยู่ในความมืด" (สดุดี 88:14,18)

"วันทั้งสิ้นของคนที่ทุกข์ใจก็เลวร้าย..." (สุภาษิต 15:15)

ข้อความข้างต้นนี้เป็นคำคร่ำครวญด้วยใจเจ็บปวดที่มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ แสดงให้เราเห็นว่าความสิ้นหวังเป็นเรื่องที่เกิดได้กับทุกคน  แม้แต่ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าก็ยังรู้สึกหม่นหมองได้โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญปัญหาที่ชวนให้สิ้นหวัง  ในเวลานั้น มนุษย์จะรู้สึกว่า พระเจ้าที่มองไม่เห็นด้วยตานั้น อยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน

แต่...พระเจ้าอยู่ใกล้พอ ที่จะได้ยินคำอธิษฐาน
พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงหลายคนที่อธิษฐานต่อพระเจ้า  เขาเล่าให้พระเจ้าฟังว่าเขารู้สึกสิ้นหวังอย่างไร  เรื่องเหล่านั้นยืนยันว่าพระคัมภีร์ไม่ใช่หนังสือที่บันทึกเรื่องของคนที่มีความสุข แต่พระคัมภีร์มีเรื่องของความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาน การร้องไห้คร่ำครวญ ความไม่สมหวังและภาระหน้าที่อันหนักหน่วงของผู้ที่เชื่อในพระเจ้าด้วย

แต่คุณรู้ไหมว่า ในความสิ้นหวังและความทุกข์ก็มีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นเพราะความทุกข์ทำให้คนเริ่มแสวงหาคำตอบของชีวิตและไขว่คว้าหาผู้ที่จะช่วยเขาได้ เป็นเหตุให้คุณคิดถึงเรื่องราวของพระเจ้าองค์เที่ยงแท้และอยากรู้จักกับพระองค์   เมื่อเขาแสวงหาพระเจ้า เขาก็จะสัมผัสได้ถึงความรักและพระเมตตาของพระองค์ และได้รับความช่วยเหลืออันน่าชื่นใจจากพระองค์ตามที่พระองค์ได้สัญญาไว้  ดังนั้น ในขณะนี้หากคุณกำลังรู้สึกสิ้นหวังด้วยสาเหตุใดก็ตาม พระเจ้ากำลังรอให้คุณพูดกับพระองค์ พระองค์อยากจะได้ยินเสียงคุณ  พระองค์ต้องการช่วยคุณ  คุณสามารถบอกกับพระองค์ว่าเวลานี้คุณรู้สึกอย่างไร  พระเจ้าอยู่ใกล้พอที่จะได้ยินคำอธิษฐานของคุณ

มี "แสงสว่าง" ส่องนำหนทาง
ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีความจริงอีกประการหนึ่ง คือพระเยซูผู้เป็นพระเจ้า ทรงเป็นแสงสว่างส่องนำหนทางของชีวิต พระองค์ทรงอยู่ใกล้คุณโดยที่คุณไม่รู้ ความมืดในเวลาค่ำคืนและเมฆทึบ อาจจะบดบังแสงอาทิตย์จากโลกได้  แต่พระเยซูทรงเป็นแสงสว่างส่องโลกซึ่งอยู่กับคุณเสมอไป  แม้แต่ถ้อยคำของพระองค์ก็ยังเปรียบได้กับโคมไฟส่องทางให้เราก้าวเดินต่อไปได้

อีกครั้งหนึ่งพระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า   “เราเป็นความสว่างของโลก   
ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด   แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต” (ยอห์น 8:12)

พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพระองค์
และเป็นความสว่างแก่มรรคาของข้าพระองค์   (สดุดี 55:22)

จงมอบภาระของท่านไว้กับพระเจ้า
และพระองค์จะทรงค้ำจุนท่าน
พระองค์จะไม่ทรงยอมให้
คนชอบธรรมคลอนแคลนเลย (สดุดี 55:22)

พระเจ้าจัดเตรียมหนทางให้คุณ
พระเจ้าอยู่กับคุณที่นี่ในเวลานี้  พระองค์ทรงเข้าใจดีว่าคุณรู้สึกหมดหวังอย่างไร และยังรู้ด้วยว่าทำไมคุณจึงรู้สึกเช่นนั้น พระองค์ทรงสัญญาว่าจะช่วยเหลือคุณหากคุณร้องขอจากพระองค์  พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้คุณอยู่อย่างสิ้นหวังหรือทอดทิ้งคุณในยามที่คุณมีปัญหา  คุณสามารถดำเนินชีวิตอย่างมีชัยชนะแม้ในเวลาที่ดูเหมือนจะสิ้นหวังก็ตาม เพราะมีสิ่งดี ๆ ข้างหน้าอีกมากมายสำหรับคุณ  ขอเพียงแต่คุณจะไว้วางใจในพระองค์

เพราะพระเจ้าทรงสดับเสียงร้องไห้ของข้าแล้ว
พระเจ้าทรงสดับคำวิงวอนของข้า
พระองค์ทรงรับคำอธิษฐานของข้า (สดุดี 6:8-9)

บิดาสงสารบุตรของตนฉันใด
พระเจ้าทรงสงสารบรรดาคนที่ยำเกรงพระองค์ฉันนั้น (สดุดี 103:13)

แล้วในความยากลำบากของเขา  เมื่อเขาร้องทูลพระเจ้า
พระองค์ทรงช่วยกู้เขาจากความทุกข์ใจของเขา (สดุดี 107:6)

ข้าพเจ้าเผชิญ ได้ทุกอย่างโดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า (ฟีลิปปี 4:13)  

-------
จากหนังสือ "ดูเหมือนแพ้ที่แท้คือชนะ" หน้า 12-15 โดย สมาคมพระคริสตธรรมไทย

Books of the BIBLE

Old Testament Books


The Old Testament has 39 books total, which consist of...

Pentateuch - 5 books
Genesis, Exodus, Leviticus, Numbers, Deuteronomy
Historical Books - 12 books
Joshua, Judges, Ruth, First Samuel, Second Samuel, First Kings, Second Kings,
First Chronicles, Second Chronicles, Ezra, Nehemiah, Esther.
Poetic books- 5 books
Job, Psalms, Proverbs, Ecclesiastes, Song of Solomon
Prophetic books- 17 books
Major Prophets - Isaiah, Jeremiah, Lamentations, Ezekiel, Daniel
Minor Prophets - Hosea, Joel, Amos, Obadiah, Jonah, Micah, Nahum, Habakkuk,
Zephaniah, Haggai, Zechariah, Malachi.

A list of books with brief descriptions of contents.

Pentateuch - 5 books

  1. Genesis - Creation, the Fall, the Flood, spread of the nations, Abraham, Isaac, Jacob, and Joseph. Enslavement in Egypt.
  2. Exodus - Enslavement, Moses, 10 plagues, Passover, Leave Egypt, Red Sea Crossing, Mt. Sinai and the 10 Commandments
  3. Leviticus - Instructions on sacrificial system and the priesthood. Instructions on moral purity.
  4. Numbers - Still at Mt. Sinai, people make false idol, punishment, 40 years wandering begins.
  5. Deuteronomy - Moses' discourses on God's Acts for Israel the Decalogue, the ceremonial, civil, and social Laws, and covenant ratification.

Historical Books - 12 books total

  1. Joshua - First half of Joshua describes the 7-year conquest of the Land of Promise. The last half deals with partitioning the lands to the people.
  2. Judges - Time of Judges.  This was a bad time period.  The Israelites did not drive out all the inhabitants of Canaan and began to take part in their idolatry.  7 cycles of foreign oppression, repentance, and deliverance.  In the end, the people failed to learn their lesson.
  3. Ruth - Kinsman redeemer in Boaz, redeeming Ruth, a Moabitess.  Speaks of righteousness, love, and faithfulness to the Lord.

The next 6 books trace the time from Samuel to the Captivity

  1. First Samuel - Samuel carries Israel from judges to King Saul
  2. Second Samuel - David as King, adultery, and murder.
  3. First Kings - Solomon, Israel is powerful. Solomon dies, then division of tribes: 10 to the north and 2 to the south.
  4. Second Kings - The Divided Kingdom.  All 19 kings of Israel were bad; therefore, captivity in Assyria (722 B.C.). In Judah, 8 of 20 rulers were good but went into exile too.
  5. First Chronicles - A recounting of the history of Israel to the time of Solomon.
  6. Second Chronicles - continued recounting of the life of Solomon, building of temple, to the captivity.  History of Judah only.

The Next 3 books deal with Israel's Restoration.

  1. Ezra - Cyrus let most of the Jews return to their land of Israel.  Zerubbabel led the people (539 B.C.).  Ezra returned later with more Jews (458 B.C.) Built the temple.
  2. Nehemiah - Building the walls of Jerusalem.  Nehemiah got permission from the king of Persia to rebuild the walls (444 B.C.).  Revival in the land.
  3. Esther - Took place during chapters 6 and 7 of Ezra. Mordecai.  Plot to kill the Jewish people.

Poetical - 5 books

  1. Job - a righteous man tested by God.  Deals with God's sovereignty.
  2. Psalms - Consists of 5 divisions.  Worship in song.  Large variety of subjects
  3. Proverbs - Practical wisdom in everyday affairs.
  4. Ecclesiastes - All is vanity.  The wisdom of man is futility.
  5. Song of Solomon - A song between Solomon and his Shulammite bride, displaying the love between a man and a woman.

Prophetical - 17 books

Major Prophets - 5 books

  1. Isaiah - Looks at the sin of Judah and proclaims God's judgment.  Hezekiah.  Coming restoration and blessing.
  2. Jeremiah - Called by God to proclaim the news of judgment to Judah, which came.  God establishes a New Covenant.
  3. Lamentations - 5 lament poems.  Description of defeat and fall of Jerusalem.
  4. Ezekiel - He ministered to the Jews in Captivity in Babylon.  Description of the end of times.
  5. Daniel - Many visions of the future for the Gentiles and the Jews.

Minor Prophets - 12 books

  1. Hosea - Story of Hosea and his unfaithful wife, Gomer.  Represents God's love and faithfulness and Israel's spiritual adultery.  Israel will be judged and restored.
  2. Joel - Proclaims a terrifying future using the imagery of locusts.  Judgment will come but blessing will follow.
  3. Amos - He warned Israel of its coming judgment. Israel rejects God's warning.
  4. Obadiah - A proclamation against Edom, a neighboring nation of Israel that gloated over Jerusalem's judgments.  Prophecy of its utter destruction.
  5. Jonah - Jonah proclaims a coming judgment upon Nineveh's people.  But they repented and judgment was spared.
  6. Micah - Description of the complete moral decay in all levels of Israel.  God will judge but will forgive and restore.
  7. Nahum - Nineveh has gone into apostasy (approx. 125 years after Jonah) and will be destroyed.
  8. Habakkuk - Near the end of the kingdom of Judah, Habakkuk asks God why He is not dealing with Judah's sins.  God says He will use the Babylonians.  Habakkuk asks how God can use a nation that is even worse than Judah.
  9. Zephaniah - The theme is developed of the Day of the Lord and His judgment with a coming blessing.  Judah will not repent, except for a remnant, which will be restored.
  10. Haggai - The people failed to put God first, by building their houses before they finished God's temple.  Therefore, they had no prosperity.
  11. Zechariah - Zechariah encourages the Jews to complete the temple.  Many messianic prophecies.
  12. Malachi. - God's people are lax in their duty to God. Growing distant from God.  Moral compromise.  Proclamation of coming judgment.


New Testament Books


The New Testament has 27 books total, which consist of...

  • Historical Books -  Matthew, Mark, Luke, John, Acts
  • Pauline Epistles - Romans, 1 Corinthians, 2 Corinthians, Galatians, Ephesians, Philippians, Colossians, 1 Thessalonians, 2 Thessalonians, 1 Timothy, 2 Timothy, Titus, Philemon
  • Non-Pauline Epistles - Hebrews, James, 1 Peter, 2 Peter, 1 John, 2 John, 3 John, Jude, Revelation
A list of books with brief descriptions of contents.

Historical Books

  1. Matthew - Presents Jesus as the Messiah.  Genealogy of Jesus through Joseph.  Fulfillment of O.T. prophecy.
  2. Mark - Presents Jesus as the Servant.  1/3 of the gospel deals with the last week of His life.
  3. Luke - Presents Jesus as the Son of Man to seek and save the lost.  Genealogy of Jesus through Mary.  Largest of the gospels.
  4. John - Presents Jesus as God in flesh, the Christ, so that you might believe.
  5. Acts - Historical account from Jesus’ ascension to travels of Paul in his missionary journeys.

Pauline Epistles

  1. Romans - A systematic examination of justification, sanctification, and glorification.  Examines God’s plan for the Jews and the Gentiles.
  2. 1 Corinthians - This letter deals with factions and corrections due to immorality, lawsuits, and abuse of the Lord’s Supper.   Also mentions idols, marriage, and the resurrection.
  3. 2 Corinthians - Paul’s defense of his apostolic position.
  4. Galatians - Paul refutes the errors of legalism and examines the proper place of grace in the Christian’s life.
  5. Ephesians - The believer’s position in Christ and information on Spiritual warfare.
  6. Philippians - Paul speaks of his imprisonment and his love for the Philippians.  He exhorts them to godliness and warns them of legalism.
  7. Colossians - Paul focuses on the preeminence of Jesus in creation, redemption, and godliness.
  8. 1 Thessalonians - Paul’s ministry to the Thessalonians.  Teachings on purity and mention of the return of Christ.
  9. 2 Thessalonians - Corrections on the Day of the Lord.
  10. 1 Timothy - Instructions to Timothy on proper leadership and dealings with false teachers, the role of women, prayer, and requirements of elders and deacons.
  11. 2 Timothy - A letter of encouragement to Timothy to be strong.
  12. Titus - Paul left Titus in Crete to care for the churches there. Requirements for elders.
  13. Philemon - a letter to the owner of a runaway slave.  Paul appeals to Philemon to forgive Onesimus.

Non Pauline Epistles

  1. Hebrews - A letter to the Hebrew Christians in danger of returning to Judaism.  It demonstrates the superiority of Jesus over the O.T. system. Mentions the Melchizedek priesthood.  (Hebrews may be of Pauline origin.  There is much debate on its authorship).
  2. James - a practical exhortation of believers to live a Christian life evidencing regeneration.  It urges self-examination of the evidence of the changed life.
  3. 1 Peter - Peter wrote this letter to encourage its recipients in the light of their suffering and be humble in it.  Mentions baptism.
  4. 2 Peter - Deals with the person on an inward level, warnings against false teachers, and mentions the Day of the Lord.
  5. 1 John - John describes true fellowship of the believers with other believers and with God.  Describes God as light and love.  Encourages a holy Christian walk before the Lord.  Much mention of Christian love.
  6. 2 John - Praise for walking in Christ and a reminder to walk in God’s love.
  7. 3 John - John thanks Gaius for his kindness to God’s people and rebukes Diotrephes.
  8. Jude - Exposing false teachers and uses O.T. allusions to demonstrate the judgment upon them.  Contends for the faith.
  9. Revelation - A highly symbolic vision of the future rebellion, judgment, and consummation of all things.
---
http://carm.org/old-testament-books
http://carm.org/new-testament-books

When was the Bible written and who wrote it?

 
 The following dates are not always exact, but are very good estimates.


Old Testament

Book Author Date Written
Genesis Moses ? - 1445 B.C.
Exodus Moses 1445 - 1405 B.C.
Leviticus Moses 1405 B.C.
Numbers Moses 1444 - 1405 B.C.
Deuteronomy Moses 1405 B.C.
Joshua Joshua 1404-1390 B.C.
Judges Samuel 1374-1129 B.C.
Ruth Samuel 1150? B.C.
First Samuel Samuel 1043-1011 B.C.
Second Samuel Ezra? 1011-1004 B.C.
First Kings Jeremiah? 971-852 B.C.
Second Kings Jeremiah? 852-587 B.C.
First Chronicles Ezra? 450 - 425 B.C.
Second Chronicles Ezra? 450 - 425 B.C.
Ezra Ezra 538-520 B.C.
Nehemiah Nehemiah 445 - 425 B.C.
Esther Mordecai? 465 B.C.
Job Job? ??
Psalms David 1000? B.C.
Sons of Korah wrote Psalms 42, 44-49, 84-85, 87; Asaph wrote Psalms 50, 73-83; Heman wrote Psalm 88; Ethan wrote Psalm 89; Hezekiah wrote Psalms 120-123, 128-130, 132, 134-136;
Solomon wrote Psalms 72, 127.
Proverbs Solomon wrote 1-29
Agur wrote 30
Lemuel wrote 31
950 - 700 B.C.
Ecclesiastes Solomon 935 B.C.
Song of Solomon Solomon 965 B.C.
Isaiah Isaiah 740 - 680 B.C.
Jeremiah Jeremiah 627 - 585 B.C.
Lamentations Jeremiah 586 B.C.
Ezekiel Ezekiel 593-560 B.C.
Daniel Daniel 605-536 B.C.
Hosea Hosea 710 B.C.
Joel Joel 835 B.C.
Amos Amos 755 B.C.
Obadiah Obadiah 840 or 586 B.C.
Jonah Jonah 760 B.C.
Micah Micah 700 B.C.
Nahum Nahum 663 - 612 B.C.
Habakkuk Habakkuk 607 B.C.
Zephaniah Zephaniah 625 B.C.
Haggai Haggai 520 B.C.
Zechariah Zechariah 520 - 518 B.C.
Malachi Malachi 450 - 600 B.C.

 

 

New Testament

Book Author Date Written (A.D)
Matthew Matthew 60's
Mark John Mark late 50's
early 60's
Luke Luke 60
John John late 80's
early 90's
Acts Luke 61
Romans Paul 55
1 Corinthians Paul 54
2 Corinthians Paul 55
Galatians Paul 49
Ephesians Paul 60
Philippians Paul 61
Colossians Paul 60
1 Thessalonians Paul 50 - 51
2 Thessalonians Paul 50 - 51
1 Timothy Paul 62
2 Timothy Paul 63
Titus Paul 62
Philemon Paul 60
Hebrews (Paul, Apollos, Barnabas...?) 60's
James James, half brother of Jesus 40's or 50's
1 Peter Peter 63
2 Peter Peter 63 - 64
1 John John late 80's
early 90's
2 John John late 80's
early 90's
3 John John late 80's
early 90's
Jude Jude, half brother of Jesus 60's or 70's
Revelation John late 80's
early 90's

---
http://carm.org/when-was-bible-written-and-who-wrote-it

พระคัมภีร์น่าเชื่อถือจริงหรือ ?


ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มีความขัดแย้งระหว่างคนที่เชื่อพระเจ้า และคนที่ไม่ยอมรับพระเจ้ามาอย่างต่อเนื่อง และการต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่าย มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่พระคำของพระเจ้า หรือพระคัมภีร์ เพราะซาตานเกลียดชังพระคำของพระเจ้า เพราะพระคำของพระองค์บอกให้เรารู้เรื่องของพระเยซูคริสต์ การช่วยกู้ ความรอด และชีวิตนิรันดร์ มันจึงพยายามที่จะทำลายพระคัมภีร์ในทุกวิถีทาง

ตลอดสองพันกว่าปีที่ผ่านมา การต่อต้านพระคัมภีร์เกิดขึ้นอย่างรุนแรง ในช่วงศตวรรษแรก จากคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า แต่ในช่วงหนึ่งร้อยห้าสิบปีที่ผ่านมา ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดต่อกางเขนของพระเจ้า คือคนที่ประกาศตัวว่าเป็นคริสเตียน ติดตามพระเยซูคริสต์ แต่ข้างในปฏิเสธความเป็นพระเจ้าของพระองค์ และไม่เชื่อในสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์

ในศตรวรรษแรก จักรพรรดิแห่งอาณาจักรโรม พยายามที่จะทำลายความเชื่อของคริสเตียนทุกวิถีทาง ฆ่าและเผาคริสเตียน รวมทั้งพยายามเผาทำลายต้นฉบับของพระกิตติคุณ และจดหมายเหตุของอัครทูต แต่คริสเตียนในยุคแรก ต่างช่วยกันปกป้องรักษาพระคำของพระเจ้า โดยการเขียน บันทึก และแปลพระคำออกเป็นหลายภาษา ในเอกสาร ในจดหมาย ส่งกระจายออกไปทั่วราชอาณาจักรโรม และเมืองอื่นๆ ข้อพระคำในพระคัมภีร์ใหม่ ถูกกล่าวอ้างถึงในเอกสารและหนังสือต่างๆ มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าคริสเตียนจะเขียนอะไร ก็จะกล่าวอ้างถึงพระคำในพระคัมภีร์ใหม่ นักประวัติศาสตร์ได้ค้นพบ สำเนาต้นฉบับพระคัมภีร์ เอกสาร บันทึก และจดหมายเหตุ ที่ถูกเขียนโดยคริสเตียนในสองศตวรรษแรก ถึงเกือบแสนฉบับ คริสเตียนในยุคแรกนี้รักและทุ่มเทต่อพระคำของพระเจ้ามาก จนกระทั่ง ไม่ว่าจะบันทึก หรือเขียนจดหมายอะไร เขาจะกล่าวถึงพระคำของพระเจ้าที่มาจากพระคัมภีร์ต้นฉบับ คำต่อคำ ไม่ผิดเพี้ยน ข้อความในพระคัมภีร์ถูกกล่าวอ้างอย่างมากในทุกเอกสาร ที่ถ้าแม้จักรพรรดิโรมจะสามารถเผาพระคัมภีร์ต้นฉบับได้ทั้งหมด พระคำของพระเจ้าก็จะยังคงอยู่ เพราะถูกบันทึก และรักษาในเอกสาร และจดหมายเหตุที่คริสเตียนในยุคแรกช่วยกันเขียน เมื่อนักประวัติศาสนตร์นำจดหมาย และเอกสารที่ถูกค้นพบมาเทียบกับข้อความในพระคัมภีร์ใหม่ พบว่า เอกสารเหล่านั้นมีข้อพระคำของพระเจ้าบันทึกอยู่รวมๆ กันแล้วถึง 98% การค้นพบเอกสาร และจดหมายเหตุเหล่านี้ เป็นหลักฐานยืนยันความเที่ยงตรง และความน่าเชื่อถือของพระคัมภีร์ใหม่

ถึงแม้จักรพรรดิโรมพยายามอย่างมากที่จะทำลายคริสเตียนและพระคำของพระเจ้าใน ช่วงสามศตรวรรษแรก แต่ในที่สุดคริสตศาสนาก็กลายมาเป็นศาสนาประจำอาณาจักรโรม เมื่อจัรกพรรดิคอนแสตนตินกลับใจเป็นคริสเตียนในปี ค.ศ. 325 แต่อย่างไรก็ดี ในสมัยกลาง (Medieval ช่วง ค.ศ. 500 ถึง 1500) ผู้นำคริสตจักรและศาสนาในยุโรป ได้บิดเบือนพระคำของพระเจ้า และละทิ้งความเชื่อดั้งเดิม หันไปแสวงหาอำนาจทางการเมือง ทั้งกษัตริย์ ผู้นำ ทางการเมือง และศาสนาร่วมมือกันออกกฎหมาย ไม่ให้ประชาชนมีพระคัมภีร์ไว้ในครอบครอง เพราะไม่อยากให้ประชาชนรู้ว่า พฤติกรรมของผู้นำเหล่านั้น ผิดต่อพระคำของพระเจ้า ผู้ที่ฝ่าฝืนมีพระคัมภีร์ในครอบครองจะถูกลงโทษโดยการเผาทั้งเป็น แม้แต่นักบวชเองก็ไม่สามารถอ่านพระคัมภีร์ได้ คนในยุคนี้ไม่รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูกในสายตาของพระเจ้า เพราะไม่สามารถอ่านพระคัมภีร์ได้ มีคริสเตียนไม่กี่คนในปัจจุบันที่รู้ว่า ในอิตาลี การมีพระคัมภีร์ในครอบครองเป็นสิ่งผิดกฎหมาย จนถึงปี ค.ศ. 1870

ในที่สุด หลังจากเกือบหนึ่งพันปีของยุคมืด Martin Luther ผู้นำการปฏิวัติทางคริสตศาสนา (the Protestant Reformation) ได้นำพระคัมภีร์ฉบับภาษาลาตินออกมาเปิดเผย และแปลเป็นภาษาเยอรมัน ฝรั่งเศส และอังกฤษ การปฏิวัติครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของความเชื่อและพฤติกรรมของ คริสเตียนที่ถูกกดขี่โดยผู้นำทางศาสนาในยุคมืด และทำให้คำสอนของคริสตศาสนาต้องยึดหลัก และความจริงจากพระคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์เท่านั้น การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้หนุนใจให้นักเทศน์หันมาประกาศข่าวประเสริฐขององค์พระ เยซูคริสต์ ในทุกพื้นที่ของยุโรป และมีคนกลับใจมาเป็นคริสเตียนอย่างล้นหลาม

แม้ว่าชาวตะวันตกในศตวรรษที่ผ่านมาจะหลั่งไหลกันกลับใจมาเชื่อพระเจ้า แต่คนมากมายในปัจจุบันกลับปฏิเสธ ไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง และไม่เชื่อว่าพระองค์สร้างโลกและจักรวาล ยิ่งไปกว่านั้น คนเหล่านี้พยายามที่จะริดรอน ความน่าเชื่อถือ และฤทธิ์เดชของพระคัมภีร์ โดยกล่าวหาว่า พระคัมภีร์เต็มไปด้วยคำโกหก ข้อผิดพลาด ความขัดแย้ง ความเสียหายที่เกิดจากความพยายามที่จะทำลายฤทธิ์อำนาจของพระคัมภีร์นี้ไม่ ได้มาจากองค์กรภายนอก และคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าเท่านั้น แต่มาจาก คริสเตียน ศิษยาภิบาล และนักปรัชญาทางคริสตศาสนา จำนวนมากที่ขาดความเชื่อในพระเจ้า และฤทธิ์เดชของพระคำของพระองค์

Professor E.B. Pusey เป็นผู้หนึ่งที่เชี่ยวชาญในการค้นคว้าหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความเที่ยงตรง ของพระคัมภีร์กล่าวว่า ความเชื่อของคริสเตียนและความน่าเชื่อถือของพระคัมภีร์ไม่สามารถที่จะถูกทำ ร้ายจากคนภายนอกได้ แต่จะถูกทำลายเพราะคริสเตียนที่ขาดความเชื่อ ที่ไม่สามารถปกป้องพระคำของพระเจ้า

สิ่งที่น่าละอาย คือนักเทศน์ และศาสตราจารย์ที่สอนคริสตศาสนศาสตร์ ที่ขาดความเชื่อในฤทธิ์เดชและสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์ ยังคงดันทุรังที่จะเทศน์ ที่จะสอนพระคำของพระเจ้า คนที่ไม่เคยเชื่อ และคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า จะไม่มีวันกลับใจ และยอมรับพระเยซูคริสต์ จากคำเทศนาและคำสอนของบุคคลที่ขาดความเชื่อเหล่านี้
ภายหลังการโจมตี ต่อต้านพระคัมภีร์ในช่วงร้อยห้าสิบปีที่ผ่านมา ศิษยาภิบาลและศาสตราจารย์ที่สอนศาสนศาสตร์จำนวนมาก เริ่มขาดความเชื่อมั่นในพระคัมภีร์ Jeffrey Haddon นักสังคมวิทยาชาวอเมริกัน ได้ทำแบบสำรวจในหมู่ผู้รับใช้นิกายโปรเตสแตนท์ในอเมริกากว่าหนึ่งแสนคนในปี 1965 คำถามในแบบสำรวจมีอยู่สามข้อคือ

1. พระเยซูคริสต์เกิดโดยหญิงพรหมจารีย์ใช่ไหม
2. พระเยซูคริสต์คือพระบุตรของพระเจ้าใช่ไหม
3.พระคัมภีร์ถูกเขียนโดยได้รับการดลใจจากพระเจ้าใช่ไหม

ผู้รับใช้มากกว่าครึ่งไม่สามารถตอบว่า "เห็นด้วยที่สุด" แต่ตอบว่า "เห็นด้วยบางส่วน" หรือ "ไม่เห็นด้วย" ต่อสามคำถามนี้ ในขณะที่ผู้รับใช้ส่วนใหญ่ในศตวรรษก่อน จะต้องตอบว่า "เห็นด้วยที่สุด" อย่างแน่นอน

พระคัมภีร์เดิม ได้ถูกกล่าวหาอย่างมากว่า เป็นเรื่องแต่งขึ้น โดยเฉพาะหนังสือดาเนียล ว่าถูกเขียนขึ้น165 ก่อนพระเยซูประสูติ (เพราะคำทำนายมากมายของดาเนียลเกิดขึ้นจริง) ความเที่ยงตรงและแม่นยำของพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม ได้รับการยืนยันจากองค์พระเยซูคริสต์และอัครทูต ว่าเป็นพระคำของพระเจ้าและได้รับการดลใจจากพระองค์ให้ถูกเขียนขึ้น
ในลูกา 24 และ ยอห์น 5:46,47 พระเยซูยืนยันว่าโมเสสเป็นผู้เขียนธรรมบัญญัติทั้งห้าเล่ม
ในมัทธิว 13:14 พระเยซูบอกว่าอิสยาห์เป็นผู้เขียนหนังสืออิสยาห์
ในมัทธิว 24:15 พระเยซูยืนยันว่าดาเนียลเขียนหนังสือดาเนียล (ลบคำกล่าวหาของผู้ที่โจมตีหนังสือดาเนียล) พระเยซูได้กล่าวถึงอาดัม เอวา และอาเบล ในมัทธิว 19:4,5 23:35
ในลูกา 17:26,28 พระองค์กล่าวอ้างถึงโนอาห์และโลท
ในยอห์น 8:56-58 พระองค์ยืนยันชีวิตของอับราฮัม สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งคือ พระเยซูได้ยืนยันการทรงสร้างโลกและมนุษย์ของพระเจ้าใน มาระโก 10:6-9
และเหตุการณ์น้ำท่วมโลกใน มัทธิว 24:37-39
ยังมีพระคำอีกมากมายที่พระเยซูคริสต์ได้ยืนยันถึงเหตุการณ์อัศจรรย์ที่เกิด ขึ้นในพระคัมภีร์เดิม เช่น
การลงโทษเมืองโสโดมและโกโมราห์ (ลูกา 17:29)
การเลี้ยงดูของพระเจ้าด้วยมานา (ยอห์น 6:32) และการรักษาจากพิษงู (ยอห์น 3:14)
ชีวิตของเอลียาห์ และเอลีชา (ลูกา 4:25-27)
และการที่โยนาห์ถูกปลากลืน (มัทธิว 12:39,40)
แม้ว่าพระเยซูคริสต์จะยืนยันและกล่าวอ้าวถึงบุคคลและเหตุการณ์ต่างๆ มากมายในพระคัมภีร์เดิม ก็ยังมีผู้รับใช้ และคริสเตียนหลายคนที่ไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านั้น เกิดขึ้นจริง โดยเฉพาะการทรงสร้างของพระเจ้า มีคริสเตียนหลายคนที่เชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการของโลก ถ้าเราเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า เราควรจะเชื่อในสิ่งที่พระองค์ตรัสและยืนยันด้วยเช่นกัน

ในส่วนของพระคัมภีร์ใหม่ แม้นักวิชาการที่ไม่เชื่อพระเจ้า ก็ยอมรับว่า หนังสือต่างๆ ในพระคัมภีร์ใหม่ได้ถูกเขียนขึ้นและได้ถูกส่งเวียน แพร่หลายในหมู่คริสเตียนในจักรวรรดิโรมัน ภายในระยะเวลาสี่สิบถึงห้าสิบปีหลังจากเหตุการณ์ที่ถูกบันทึกนั้น ผู้เชื่อหลายพันคนที่มีชีวิตอยู่ และเห็นเหตุการณ์ ในช่วงเวลาที่พระเยซูคริสต์ทำพันธกิจ การสิ้นพระชนม์ การฟื้นคืนพระชนม์ และการเสด็จสู่สวรรค์ ยังมีชีวิตอยู่ในเวลาที่อัครทูต และอาจารย์เปาโลเขียนพระกิตติคุณและจดหมายเหตุ หนังสือและจดหมายเหตุเหล่านี้ได้ถูกคัดลอกอย่างระมัดระวัง ถูกส่งเวียนกันอ่านในหมู่คริสเตียนทุกวันอาทิตย์ และถูกส่งไปยังชาวต่างชาติและชาวยิวหลายล้านคนที่เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ จากทางเหนือของประเทศอังกฤษ จนถึงทะเลทรายในแถบซีเรีย และทางเหนือของทวีปแอฟริกา แม้แต่ศัตรูของพระเยซู นักประวัติศาสตร์ชาวโรมัน ต่างก็ยอมรับว่ามีคนกลับใจมาเป็นคริสเตียนเป็นจำนวนมากทั่วอาณาจักรโรมันใน เวลานั้น

ถ้าสิ่งที่ถูกบันทึกในพระคัมภีร์ใหม่ไม่เป็นจริง เรื่องของพระเยซูคริสต์ถูกแต่งขึ้น เปลี่ยนแปลง บิดเบือน คงจะมีความขัดแย้ง ความแตกแยกเกิดขึ้น ในเรื่องของความจริง และรายเอียดในคำสอน ในหมู่คริสเตียนยุคแรก เพราะหนังสือต่างๆ จะมีข้อมูลที่ไม่ตรงกัน แต่คริสเตียนในอาณาจักรโรมที่กว้างใหญ่ ในหลายประเทศ ต่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ยอมถูกทรมานอย่างทารุณ ยอมตาย แต่ไม่ยอมละทิ้งความเชื่อ เมื่อถูกข่มเหงโดยจักรพรรดิโรม แต่พระคัมภีร์ใหม่ ก็ยังอยู่สืบๆ ต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ และได้รับการยอมรับจากนักประวัติศาสตร์โรม

นอกจากนี้ หนังสือต่างๆ ในพระคัมภีร์ใหม่ ยังได้ถูกคัดลอกด้วยความระมัดระวัง แปลตรงตัว คำต่อคำ และแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย ระหว่างปี ค.ศ.60-70 เช่น ภาษาซีเรีย อียิปต์ อาราบิค เอธิโอเปีย อาร์มีเนียน เปอร์เชียน โกธิค สโลวานิค ลาติน และฮีบรู หนังสือที่ถูกแปลเหล่านี้ได้ถูกส่งไปยังประเทศต่างๆ มากมาย ไม่มีใครที่จะสามารถบิดเบือนข้อความในพระคัมภีร์ใหม่ได้ เพราะมีสำเนาหลายสำเนา ในหลายภาษาที่สามารถนำมาเปรียบเทียบ ความถูกต้อง เพราะความรักในพระคำของพระเจ้า ทำให้คริสเตียนในยุคแรกช่วยกันบันทึก คัดลอก และแปลพระคำของพระเจ้า ทำให้พระคัมภีร์กระจายไปยังประเทศต่างๆ ทั้งยูเดีย สะมาเรีย และสุดปลายแผ่นดินโลก และทำให้เรามีพระคัมภีร์ได้ในทุกวันนี้

นักเขียนชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงโด่งดัง มีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1694- 1778 นามปากกา Voltaire ซึ่งเป็นผู้ที่เกลียดชัง และต่อต้านพระคัมภีร์อย่างมาก ได้เขียนคำทำนายเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไว้ว่า ในหนึ่งร้อยปีหลังจากยุคของเขา คริสเตียนจะสูญหายไป เหลือเพียงแค่ความทรงจำ แต่ในทุกวันนี้คริสตศาสนาเป็นศาสนาที่โตอย่างรวดเร็วที่สุด สถิติบอกว่า ในแต่ละวัน มีคนกลับใจเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ถึง 85,000 คนทั่วโลก และเป็นเรื่องแปลกที่ในพิพิธภัณฑ์ห้องสมุดของ Voltaire มีผู้นำพระคัมภีร์มาวางไว้หลายพันเล่มจากพื้นสูงจนถึงเพดาน

แม้ซาตานและคนที่ไม่เชื่อต่างต่อต้านพระคัมภีร์อย่างหนักหน่วงและไม่หยุด ยั้ง พระคัมภีร์ยังคงเป็นหนังสือที่ถูกพิมพ์มากที่สุด ถูกอ่านมากที่สุด และมีอิทธิพลในการเปลี่ยนแปลงชีวิตคนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ พระคำของพระเจ้ายังมีฤทธิ์อำนาจเปลี่ยนแปลงประเทศชาติ และอาณาจักรต่างๆ อีกด้วย

เมื่อประเทศแอฟริกาส่งทูตไปเฝ้าพระราชินีวิคตอเรีย (ครองราชย์ในประเทศอังกฤษในปี ค.ศ. 1819-1901) พระราชินีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศอังกฤษ ทูตแอฟริกันถามคำถามที่กษัตริย์แอฟริกาฝากมาถามพระองค์ว่า อะไรคือเคล็ดลับในอำนาจและความสำเร็จของประเทศอังกฤษที่ขยายดินแดนไปทั่ว ทั้งโลก พระราชินีวิคตอเรียหยิบพระคัมภีร์ขึ้นมาและตอบว่า กลับไปบอกกษัตริย์ของท่านว่า หนังสือเล่มนี้คือเคล็ดลับแห่งความสำเร็จของประเทศอังกฤษ

---
โดย อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์
http://www.truelove2u.com/webboard-BIBLE-1-252029-1.html

พระคริสต์พิชิตซาตาน

โดย ศจ.สมศักดิ์ ชูสงฆ์



เมื่อเราพิจารณาถึงเรื่องทูตสวรรค์และผี เรากำลังเข้าสู่มิติใหม่ มิติที่ไม่ได้อาศัยสัมผัสทั้งห้าของมนุษย์ (รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส) แม้สัมผัสไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องทูตสวรรค์และเรื่องผีไม่ใช่เรื่องจริง เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง
ในพระคัมภีร์เดิม พูดถึงพวกทูตสวรรค์ 17 เล่ม รวม 108 ครั้ง และในพระคัมภีร์ใหม่พูดถึง 165 ครั้ง
ในปัจจุบันนี้ คนทั่วโลกกำลังตื่นเต้นเรื่องวิญญาณ แต่จะเป็นวิญญาณดีหรือวิญญาณชั่วก็ไม่รู้ พวกเขาขอให้ได้เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยก็แล้วกัน
ดังนั้น จะเห็นว่ามีอะไร ๆ เกี่ยวกับเรื่องผีผี วิญญาณต่าง ๆ มากขึ้น เช่น ภาพยนตร์หมอผีเอ็กเซอร์ซิสซ์ เป็นต้น
คริสเตียนจึงควรจะเข้าใจเรื่องนี้ เพราะการดำเนินชีวิตคริสเตียนก็เปรียบเหมือนอยู่ในสนามรบ โลกกำลังมีสงครามระหว่างอำนาจมืดกับอำนาจของพระเจ้า และเราอยู่ในท่ามกลางสงครามนี้
ฉะนั้น ในฐานะคริสเตียน ทุกคนเป็นทหารของพระคริสต์ จึงจำเป็นต้องรู้ยุทธอุบายทุกอย่างของฝ่ายตรงข้าม และต้องมีอาวุธที่สามารถต่อสู้กับศัตรูได้
ในหนังสือเอเฟซัศบทที่ 6 ได้เตือนคริสเตียนทุกคนให้ระวังตัวอยู่เสมอ และให้สวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อจะต่อต้านยุทธอุบายของผีมารซาตานได้
เมื่อดูเบื้องหลังของคนไทย ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับพวกภูตผีปีศาจ แม้แต่ผมเองก็เป็นหลานหมอผี และเกือบจะเป็นหมอผีด้วยเหมือนกัน แต่ขอบคุณพระเจ้า พระองค์ช่วยผมทัน ไม่ให้ผมตกไปเป็นเครื่องมือของผีมารซาตาน
ฉะนั้น ในฐานะที่ผมเป็นคนไทย และเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมจึงอยากจะอธิบายเรื่องนี้จากพระวจนะของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจกันอย่างชัดเจนว่า "ซาตานกับผีเกี่ยวข้องกันอย่างไร" เพื่อเราจะได้รู้ยุทธอุบายของมัน รู้การงานและลักษณะของมันด้วย
สถานการณ์ต่าง ๆ ในโลกกำลังวุ่นวาย และผู้ที่อยู่ที่เบื้องหลังของเหตุการณ์เหล่านี้ ก็คือ ซาตานกับพรรคพวกของมันนั่นเอง พวกมันกำลังปลุกปั่นยุยงให้เกิดเหตุการณ์ที่ร้ายแรงยิ่งขึ้นทุกที
ฉะนั้น ให้เรามาพิจารณาถึงเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพราะเพียงอยากรู้อยากเห็น แต่ในฐานะที่เราเป็นผู้ที่ได้รับการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงมีชัยชนะเหนือกิจการทั้งสิ้นของซาตาน



พระคัมภีร์พูดถึงซาตานอย่างไร ?

ในพระคัมภีร์เดิม มนุษย์จะไม่ตกต่ำในความบาปเลย ถ้าไม่มีซาตาน
ปฐมกาลบทที่ 3 กล่าวว่า ซาตานได้ใช้งูเป็นเครื่องมือ
ที่จริง ซาตานทำงานโดยตัวของมันเองไม่ค่อยได้เท่าไร นอกจากจะใช้สิ่งของหรือสิ่งมีชีวิตเป็นเครื่องมือเพื่อทำให้งานของมันสำเร็จตามเป้าหมาย
เช่น เรื่องของโยบ เป็นเรื่องระหว่างพระเจ้ากับซาตาน ในหนังสืออิสยาห์ 14:12-17 และ เอเสเคียล 28:1-19 ก็เช่นกัน
เมื่อเราศึกษาพระคัมภีร์เดิม เราจะเห็นว่ามีบันทึกเรื่องซาตานอยู่มาก
ถ้าจะพูดอีกแง่หนึ่งก็คือ พระคัมภีร์เดิมดูจะไม่ค่อยมีความหมายเท่าไรนัก ถ้าตัดเรื่องซาตานออกไป เพราะปกติแล้ว ซาตานมีส่วนเกี่ยวข้องและมีบทบาทสำคัญในชีวิตมนุษย์
ในพระคัมภีร์ใหม่ก็เช่นเดียวกัน พระคัมภีร์พูดถึงซาตานทั้งหมดถึง 19 เล่ม เฉพาะในพระกิตติคุณ 4 เล่ม ก็พูดถึงซาตาน 29 ครั้งด้วยกัน และในจำนวนนี้ มี 25 ครั้งที่เป็นคำตรัสของพระเยซูคริสต์โดยตรง
เมื่อเราดูในมัทธิวบทที่ 4 จะพบว่า ขณะที่พระเยซูคริสต์ปะทะกับซาตานในถิ่นทุรกันดาร พระองค์เองเป็นผู้เปิดเผยแผนการของซาตาน ทำให้เราทั้งหลายได้เข้าใจและพระองค์เท่านั้นที่เปิดเผยได้ดีที่สุด เพราะพระองค์รู้จักมันดี
ฉะนั้น คริสเตียนจะแพ้หรือชนะ ก็อยู่ที่ว่าเราได้ล่วงรู้กลเม็ดของซาตาน ล่วงรู้ถึงการงานและลักษณะของมันมากน้อยเพียงไร



ซาตานเป็นใคร มาจากไหน ?

ซาตานมีลักษณะเป็น "บุคคล" ซาตานฉลาด (2โครินธ์ 11:3) มีความรู้สึก (อิสยาห์ 14) มีความตั้งใจ และมีเจตนา

"แต่ข้าพเจ้าเกรงว่า งูนั้นได้ล่อลวงนางเอวาด้วยอุบายของมันฉันใด จิตใจของท่านก็จะถูกล่อลวงให้หลงไปจากความสัตย์ซื่อ และความบริสุทธิ์ต่อพระคริสต์ฉันนั้น" (2โครินธ์ 11:3)

ในวิวรณ์ 20:7-9 เราจะเห็นว่า ซาตานเป็นบุคคล และเป็นเหมือนกับคน (สัตว์และสิ่งของไม่ใช่บุคคล) พระคัมภีร์พูดชัดเจนว่า สัตว์และสิ่งของไม่จำเป็นต้องให้การกับพระเจ้า สัตว์ไม่ต้องถูกพิพากษาตามการกระทำของมัน แต่ซาตานจะต้องถูกพิพากษาเช่นเดียวกับบุคคลอื่น

"ครั้นพันปีล่วงไปแล้ว ก็จะปล่อยซาตานออกจากคุกที่ขังมันไว้ และมันจะออกไปล่อลวงบรรดาประชาชาติทั้งสี่ทิศของแผ่นดินโลก คือโกกและมาโกก ให้คนมาชุมนุมกันทำศึกสงคราม จำนวนคนเหล่านั้นมากมายดุจเม็ดทรายที่ทะเล และคนเหล่านั้นยกขบวนออกไปทั่วแผ่นดินโลก และล้อมกองทัพของพวกธรรมิกชน และนครอันเป็นที่รักนั้นไว้ แต่ไฟได้ตกลงมาจากสวรรค์เผาผลาญคนเหล่านั้น" (วิวรณ์ 20:7-9)

ในมัทธิวบทที่ 25 และยอห์นบทที่ 16:11 ได้อธิบายให้เห็นว่าซาตานเป็นผู้หนึ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้น แต่ต่อมาภายหลังมันได้กบฎ และตั้งตัวเป็นศัตรูกับพระเจ้า หรือจะพูดให้ง่ายขึ้น ก็คือ ที่มันเป็นซาตานก็เพราะมันเคยเป็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งที่มียศฐาบรรดาศักดิ์สูงส่งในท่ามกลางทูตสวรรค์ทั้งหลาย แต่ทูตสวรรค์องค์นี้มีใจเย่อหยิ่ง อยากจะเท่าเทียมกับพระเจ้า จึงกบฎต่อพระเจ้า พระเจ้าจึงต้องเหวี่ยงมันลงมา และตัดมันขาดออกจากการมีส่วนในแผ่นดินของพระองค์ เราจึงเรียกมันว่า ซาตาน หรือ ลูซิเฟอร์ (อิสยาห์ 14)

"โอ ดาวประจำกลางวันเอ๋ย พ่อโอรสแห่งพระอรุณ
เจ้าร่วงลงมาจากฟ้าสวรรค์แล้วซิ
เจ้าถูกตัดลงมายังพื้นดินอย่างไรหนอ
เจ้าผู้กระทำให้บรรดาประชาชาติตกต่ำน่ะ" (อิสยาห์
14:12)

ซาตานเป็นวิญญาณ และพรรคพวกของมันก็เป็นวิญญาณ (มัทธิว 25:41, วิวรณ์ 12)

"พระองค์จะตรัสกับบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายพระหัตถ์ของพระองค์ว่า 'ท่านทั้งหลายผู้ต้องแช่งสาปจงถอยไปจากเรา เข้าไปอยู่ในไฟซึ่งไหม้อยู่เป็นนิตย์ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับมารร้ายและสมุนของมันนั้น" (มัทธิว 25:41)



ชื่อต่าง ๆ ของซาตาน

เมื่อดูความหมายของชื่อ "ซาตาน" พระคัมภีร์ได้อธิบายว่า ซาตานมีชื่อว่า
1. "เจ้าโลกนี้ หรือ เจ้าของโลกนี้ หรือเจ้าแห่งโลกนี้" (1ยอห์น2 และ 5, มัทธิว 12, ยอห์น 12 และ 16)

"เราทั้งหลายรู้ว่าเราเกิดจากพระเจ้า และชาวโลกทั้งสิ้นอยู่ใต้อานุภาพของมารร้าย" (1ยอห์น 5:19)

2. "เจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ" ที่สิงอยู่ในคนทั้งหลายที่ไม่เชื่อ

"ครั้งเมื่อก่อนท่านเคยประพฤติในการบาปนั้นตามวิถีของโลก ตามเจ้าแห่งย่านอากาศ คือวิญญาณที่ครอบครองอยู่ในคนทั้งหลายที่ไม่เชื่อฟัง" (เอเฟซัส 2:2)

3. "พระของยุคนี้" ซึ่งทำให้คนเป็นอันมากหลงไป

"ส่วนคนที่ไม่เชื่อนั้น พระของยุคนี้ได้กระทำใจของเขาให้มืดไป เพื่อไม่ให้เขาได้เห็นความสว่างของข่าวประเสริฐ เรื่องพระสิริของพระคริสต์ผู้เป็นพระฉายของพระเจ้า" (2โครินธ์ 4:4)

4. "เบเซเอลบูล" หมายถึง นายผี หรือผู้บังคับบัญชาผีทั้งหลาย (มัทธิว 12:24, ลูกา 11:15) ที่จริง คำนี้ในภาษาฮีบรูแปลว่า เจ้าแห่งแมลงวัน ซึ่งอาจจะเป็นการพูดดูถูกพระบาอัล หรือพระต่างชาติก็ได้

"แต่พวกฟาริสีเมื่อได้ยินดังนั้นก็พูดกันว่า 'ผู้นี้ขับผีออกได้ก็เพราะใช้อำนาจเบเอลเซบูลผู้เป็นนายผีนั้น' " (มัทธิว 12:24)

ผมยกชื่อเหล่านี้มาพอให้ผู้อ่านได้เข้าใจ แต่ที่จริงมันยังมีชื่ออีกมากถึง 11 ชื่อ เช่น
  • ลูซิเฟอร์ หรือ ดาวประจำกลางวัน
  • บาบิโลน หรือ บุคคลที่ซาตานใช้ (อิสยาห์ 14)
  • ผู้ขัดขวาง หรือ ผู้ต่อต้าน (ใช้ชื่อนี้ในพระคัมภีร์ถึง 52 ครั้ง)
  • งูดึกดำบรรพ์
  • พญานาค
  • มารร้าย
แต่ขอให้เข้าใจว่า ชื่อต่าง ๆ เหล่านี้ได้ชี้ถึงกิจการของซาตานด้วย กิจการของมันจะเป็นไปตามชื่อที่ปรากฎในลักษณะต่าง ๆ อย่างชัดเจน เช่น
  • ในมัทธิว 12 มันได้ชื่อว่าเป็นผู้กล่าวหา หรือ ผู้ฟ้องร้อง
  • ในวิวรณ์ 12 กล่าวว่า ซาตานเป็นผู้หลอกลวง
  • ในยอห์น 8 กล่าวในแง่ว่า ซาตานเป็นผู้ฆ่าคน เป็นพ่อของการมุสา


ซาตานทำอะไรบ้าง ?

เมื่อเราสังเกตดูอำนาจและกิจการของซาตานในปัจจุบัน เราจะพบว่า มันมีอำนาจเหนือพรรคพวกของมัน
ในมัทธิว 12:24 บันทึกว่า มันเป็นนายผี และในยอห์น 5:19 บอกว่า มันมีอำนาจเหนือโลกปัจจุบัน มันอยู่ในย่านอากาศ (เอเฟซัส 6)
เช่น เมื่อเราไปเทศนาหรือประกาศเรื่องพระเยซู ถึงแม้ว่าเราใช้คำเทศนาเดียวกัน แต่ไปพูดในที่ต่าง ๆ กัน บางแห่งจะไม่พบปฏิกิริยาต่อต้านอะไรเลย แต่บางแห่งเรากลับพบปฏิกิริยาต่อต้านที่ร้ายกาจมาก เหตุผลก็เพราะว่าคำเทศนานั้น ไปถูกจุดของเจ้าแห่งย่านอากาศผู้ครอบครองในย่านอากาศ ในสถานที่นั้น ๆ เข้า จึงเกิดปฏิกิริยาต่อต้านทันที
ถ้าคุณอยากจะรู้ว่าคนนั้นถูกผีเข้า หรือไม่ใช่ผีเข้านั้น ก็ให้คุณเทศนาถึงเรื่องฤทธิ์อำนาจของพระโลหิตพระเยซูคริสต์สิ ขณะที่เทศนาถึงเรื่องนี้ ถ้าเป็นผีเข้า มันจะทนไม่ได้ จะต้องสำแดงอาการออกมาทันที
ฉะนั้น พระคัมภีร์จึงอธิบายว่า กิจการของวิญญาณชั่ว หรือ ซาตานนี้ อยู่ในย่านอากาศ
ใน 1เปโตร 5:8 กล่าวว่า

"ท่านทั้งหลายจงสงบใจระวังระไวให้ดี ด้วยว่าศัตรูของท่านคือมาร วนเวียนอยู่รอบ ๆ ดุจสิงห์คำราม เที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้" (1เปโตร 5:8)

ซาตานชอบปลอมตัวเป็นนักศาสนา (2โครินธ์ 11) ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนในเรื่องนี้ ก็คือ ลัทธิมรณะ เราคงจำกันได้ว่า จิมโจน ผู้ตั้งตัวเป็นผู้นำศาสนาทำตัวเหมือนผู้วิเศษ เหมือนพระเจ้า แต่ผลสุดท้าย เข้าได้ฆ่าคนนับร้อย ๆ ด้วยยาพิษ
นี่คือการงานของซาตาน และมันเป็นต้นกำเนิดของคำสอนเท็จ มันบิดเบือนความจริงของพระเจ้า
ใน 1ทิโมธี 4:1-3 และ 2เปโตร 2 อธิบายว่า มันมาในรูปการสอนเท็จ มันมักจะบิดเบือนความจริง และมักหักเหคนของพระเจ้าให้สอนพระวจนะของพระเจ้าในทางที่ผิด มันเข้าหาผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์

"พระวิญญาณได้ตรัสไว้อย่างชัดแจ้งว่า ต่อไปภายหน้าจะมีบางคนละทิ้งความเชื่อ โดยหันไปเชื่อฟังวิญญาณที่ล่อลวง และฟังคำสอนของพวกผีปีศาจ ซึ่งมาจากการหน้าซื่อใจคดของคนที่โกหก คือคนที่จิตสำนึกเป็นทาสของมาร เขาห้ามไม่ให้ทำการสมรส ห้ามบริโภคอาหารบางชนิดซึ่งพระเจ้าทรงสร้างไว้ให้ผู้ที่เชื่อ และรู้จักความจริงบริโภคด้วยขอบพระคุณ" (1ทิโมธี 4:1-3)

พระคัมภีร์จึงบอกว่า เมื่อใกล้จะถึงวันสุดท้ายที่พระเยซูคริสต์จะกลับมา จะมีคนเป็นอันมากอ้างตัวว่าเป็นพระคริสต์ และก็มีคนเป็นอันมากหลงใหลใผ่ฝันไปนมัสการ และติดตามผู้นั้น มันจะหลอกลวงบรรดาประชาชาติ
ในวิวรณ์ 20 มันขัดขวางการรับใช้พระเจ้า มันใช้ผู้สอนผิด ๆ เข้าแทรกแซงในคริสตจักร มันปลอมตัวเหมือนผู้รับใช้พระเจ้า มันยุให้มีการแตกแยก นี่แหละคืองานของมันล่ะ
ในลูกา 8:12 กล่าวว่า

"ที่ตกตามหนทางได้แก่ คนเหล่านั้นที่ได้ยินแล้วมารมาชิงเอาพระวจนะจากใจของเขา เพื่อไม่ให้เชื่อและรอดได้" (ลูกา 8:12)"

นี่ก็เป็นเหตุหนึ่งที่คนมากมายได้ยินพระวจนะของพระเจ้าแล้ว แต่ก็ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว ไม่รู้ ไม่เข้าใจสักที เพราะมารนี่เองที่คอยช่วงชิงเอาพระวจนะที่จะตกในจิตใจของเขาไป เพราะมันรู้ว่าถ้าพระวจนะตกถึงจิตใจของคนที่เชื่อแล้ว พระวจนะจะเกิดผลแน่
ใน 2โครินธ์ 4 กล่าวว่า มันทำให้ตาของคนมืดมัวไปเพื่อจะไม่เห็นพระเจ้า ไม่เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์
ใน 2โครินธ์ 2 มันทำให้คริสเตียนไม่ให้อภัยซึ่งกันและกัน มันสู้รบหาช่องทำลายคริสเตียน มันกล่าวหาฟ้องร้องธรรมิกชน
ดังที่บันทึกในวิวรณ์ 12 มันฝัง "ความสงสัยในพระเจ้า" ไว้ในใจเรา "จริงหรือ...จริงหรือ" ให้เราสงสัยในความชอบธรรมของพระเจ้า สงสัยในความบริสุทธิ์ของพระเจ้า สงสัยในการอัศจรรย์ของพระเจ้า มันชอบทำให้เราสงสัย และชอบล่อลวงให้เราโกหก
เช่นเรื่องอานาเนียกับสัปฟีรา สามีภรรยาที่ขายที่ดินแล้ว เอาเงินส่วนหนึ่งมาถวาย แต่โกหกว่าถวายหมดแล้ว (กิจการ 5) ที่จริงเงินทั้งหมดก็เป็นของเขาเอง ถ้าจะพูดตรง ๆ ก็ไม่เห็นมันจะผิดอะไร เพราะเป็นของเขา แต่มารพยายามล่อลวงให้คนที่เชื่อพระเจ้าพูดมุสา พระคัมภีร์บอกว่าซาตานเป็น "พ่อของการมุสา"
มันล่อลวงในเรื่องทางเพศ ใน 1โครินธ์ 7:5 อธิบายให้เราระวังในเรื่องนี้ มันพยายามให้เราปักหลักอยู่กับโลกียวิสัยของโลก
นอกจากนั้นมันยังชอบยุยงให้คนเราอวดตัว ไม่งั้นก็ดึงให้เรารู้สึกท้อใจ มันชอบขัดขวางงานที่เรารับใช้พระเจ้า และยุแหย่ให้แตกแยกกันด้วย



ผีเป็นใคร มาจากไหน ?

ผีเป็นใคร

นอกจากซาตานจะทำกิจการดังกล่าวแล้ว มันยังใช้พรรคพวกของมันที่มีจำนวนนับไม่ถ้วนอีกด้วย ก็คือ ผี ผี ผี ทั้งหลาย ฉะนั้น เราจึงต้องเข้าใจว่า ผีเป็นใคร มาจากไหน มันทำงานอย่างไร
บางทีเราอาจจะไม่ได้เผชิญหน้ากับตัวซาตานเองโดยตรงก็ได้ แต่สำหรับคนไทยส่วนใหญ่แล้ว จะเข้าไปพัวพันกับพวกผีอยู่บ่อย ๆ เป็นกิจวัตรประจำวันโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะยิ่งใกล้เวลาสิ้นยุค ซาตานก็ยิ่งทำงานแข่งกับเวลา เพราะมันรู้ว่าเวลาของมันเหลือน้อยเข้าไปทุกที
ความจริง ศาสนาอื่น ๆ ก็มีหลักฐานยืนยันว่า มีเรื่องผีด้วยเหมือนกัน เช่น ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ลัทธิต่าง ๆ มักจะเกี่ยวข้องกับภูตผีปีศาจ และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ศาสนาเหล่านี้ไม่ได้ถูกต่อต้านอะไร จะมีก็แต่เรื่องพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่ถูกต่อต้านมากที่สุดในโลก เหตุผลก็เพราะเรื่องของพระเยซูคริสต์ไม่ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับภูตผีปีศาจ ตรงกันข้าม พระเยซูเป็นปฏิปักษ์กับพวกผีวิญญาณชั่ว
ในพระคัมภีร์มีหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องผีมาก และได้อ้างถึงผีมากกว่า 100 ครั้งด้วยกัน เช่น 1ซามูเอล เป็นต้น
ในมัทธิว 12 พระเยซูก็ยืนยันถึงเรื่องนายผีและพรรคพวกของมัน กิจการส่วนใหญ่ของพระเยซูคริสต์ก็เป็นการปะทะกันกับพวกผี และปลดปล่อยผู้ที่ถูกผีเข้าสิง พระองค์มาเพื่อทำลายกิจการของผีมารซาตาน และแย่งชิงคนเหล่านั้นที่อยู่ใต้อำนาจของวิญญาณชั่วให้พ้นจากการเป็นทาสของมัน (มัทธิว 10:17)
พระเยซูไม่เคยแก้ไขให้คนเลิกเชื่อเรื่องผี ตรงกันข้าม พระองค์ยืนยันทั้งในการสอนและกิจการของพระองค์ว่า ผีมีจริง

ผีมาจากไหน

บางคนบอกว่า ผีเป็นวิญญาณของคนที่ตายแล้ว พวกชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ก็เชื่อแตกต่างกันไป บางเผ่าเชื่อว่า ผีเป็นวิญญาณ
อย่างไรก็ตาม พระคัมภีร์ไม่เคยให้หลักฐานว่าผีเป็นวิญญาณของมนุษย์ที่ตายไปแล้ว ถึงแม้จะมีข่าวการระลึกชาติได้ก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า คนนั้นจะเคยมีชาติมาก่อน แต่ผีซึ่งอยู่ในสมัยก่อนนั้นอาจจะเข้าอยู่ในมนุษย์คนนั้น แล้วทำให้เขาระลึกชาติก็ได้ นี่เป็นวิธีการหลอกลวงของผีที่ใช้บังหน้ากิจการของมันอย่างได้ผล ทำให้คนไทยส่วนใหญ่เชื่อกันจนฝังหัวเลยทีเดียวว่า มีการระลึกชาติได้ ซึ่งทำให้เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดมากยิ่งขึ้น
เรื่องนี้ พระคัมภีร์ได้บอกชัดเจนว่า วิญญาณของคนที่ตายไปแล้วนั้น จะถูกเก็บไว้ ดังนั้น คนที่เชื่อพระเจ้าจึงไม่เชื่อเรื่องการระลึกชาติ (ฮีบรู 9:27-28, ลูกา 16:19-31)

"มีข้อกำหนดสำหรับมนุษย์ไว้แล้วว่าจะตายครั้งเดียว และหลังจากนั้นก็จะมีการพิพากษาฉันใด พระคริสต์ก็ฉันนั้น คือพระองค์ทรงถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาครั้งเดียว เพื่อจะได้ทรงแบกบาปของคนเป็นอันมากไว้ พระองค์จะทรงปรากฏเป็นครั้งที่สอง มิใช่เพื่อกำจัดบาป แต่เพื่อช่วยบรรดาผู้ที่รอคอยพระองค์ด้วยใจจดจ่อให้ได้รับความรอด" (ฮีบรู 9:27-28)

ส่วนคนที่อ้างว่าระลึกชาติได้นั้น ถ้าเราลองสืบสาวราวเรื่องถึงเบื้องหลังชีวิตของเขา จะพบว่า ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับพวกวิญญาณชั่วมาก่อน
ในต่างประเทศ มีเรื่องที่ร้ายแรงกว่านี้อีก คือ พวกนี้จะสามารถใช้วิญญาณชั่วให้ทำบางสิ่งบางอย่างได้ โดยเอาปากกาของคนที่ตายมาแตะไว้ที่มือ และจะเขียนเป็นลายเซ็นต์ของคนที่ตาย จนสามารถโกงเงินธนาคารเป็นล้าน ๆ ได้ นี่เป็นวิธีการหากินของพวกหมอผีทั้งหลายที่กำลังทำกันอยู่ในทุกวันนี้
ในบ้านเราเคยมีข่าวว่า มีเด็กระลึกชาติได้ เมื่ออ่านประวัติของเด็กคนนั้นก็จะพบว่า เด็กคนนั้นเคยมีส่วนร่วมในพิธีบวงสรวง มีส่วนพัวพันกับภูตผีปีศาจ ทำอะไรทำนองนี้มาก่อน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะมีอิทธิพลมากที่ทำให้เขาเป็นเครื่องมือของซาตานได้
ผมขอยืนยันพระวจนะของพระเจ้า ที่ว่า วิญญาณของผู้ตายนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคนที่ผีเข้าเลย
ผมขอยกตัวอย่างประสบการณ์ของผม
คุณป้าของผมเคยถูกผีเข้า ขณะที่ป้าถูกผีเข้า เธอก็พูดเป็นเสียงผู้ชาย และเมื่อผมขึ้นไปบนบ้าน ป้าเห็นผมเข้า ก็แสดงอาการตกใจทันที พร้อมกับชี้หน้าไล่ผม "ไปให้พ้น"
ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นคริสเตียน เพราะผมเพิ่งจะกลับบ้านหลังจากที่กลับใจใหม่ ๆ จึงยังไม่ได้บอกใคร
ผมเลยถามป้าว่า "ป้าไล่ผมทำไมครับ"
ป้าตอบยังไงรู้ไหมครับ ป้าตอบว่า "เพราะเอ็งมีพระเยซูคริสต์อยู่ในตัวเองนะสิ"
ที่จริงยังไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นคริสเตียน แต่ผมรู้ว่าผู้ที่รู้ว่าผมเป็นคริสเตียนที่ออกมาจากปากของป้านั้น คือ วิญญาณชั่ว
แล้วป้าก็พูดเป็นเสียงผู้ชาย เพราะคนเป็นอันมากที่นั่นคิดว่าเป็นวิญญาณของคนที่ตายแล้วมาเข้าสิงในตัวป้า
ผมจึงถามว่า "เอ็งเป็นใคร"
มันก็บอกว่าชื่อท้อน ท้อนคนนี้เป็นไอ้ "เสือ" ที่ถูกทุบตายที่หมู่บ้านนั้น
แล้วผมก็ถามว่า "มาทำไม"
มันบอกว่า เมื่อตอนที่ป้าไปเก็บกระถิน พอดีมีตุ๊กแก ป้าเกิดตกใจ เวลานั้นวิญญาณก็เลยเข้าสิงทันที
แต่ผมอยากจะแก้ความเข้าใจแก่คนที่นั่งอยู่ จะได้เข้าใจว่า จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่วิญญาณของนายท้อน ผมจึงบังคับมันในนามของพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ "จงบอกมาเดี๋ยวนี้ ว่าเอ็งเป็นใคร"
ตอนแรกมันไม่ยอมบอก มันสั่นไปหมด สุดท้ายจึงยอมสารภาพว่า เป็นวิญญาณที่ล่องลอยไป ๆ มา ๆ มันไม่ใช่วิญญาณของนาท้อนที่พูดไว้ตั้งแต่แรก
พระคัมภีร์บอกว่า วิญญาณชั่ว ซาตานนั้น มันเป็นพ่อของการมุสา มันพยายามปิดบังตาของคนเป็นอันมากให้หลงใหล ใฝ่ฝันในเรื่องที่คนนั้นเองกำลังเชื่อถืออยู่ จนกระทั่งปัจจุบัน คนไทยมากมายยังเชื่อว่า มีวิญญาณผู้ตายเข้ามาสิงอยู่ในคนได้ ที่จริงไม่ใช่อย่างนั้น เพราะพระวจนะของพระเจ้าได้บอกไว้อย่างชัดเจน



การงานของผี

ลักษณะของผี

ขอให้เรามาพิจารณาลักษณะของผีว่าเป็นอย่างไร
ผีมีลักษณะเป็นบุคคลเหมือนกัน มันใช้สรรพนามแทนตัวของมันเองว่า "ข้าพระองค์" ดังปรากฎในลูกา 8 ผีมีชื่อแต่ละชื่อของมัน มันสามารถพูดคุยได้ อย่างในลูกา 4 ก็มีบันทึกเรื่องนี้ มันฉลาด มันรู้จักว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร (มาระโก 1)
มันยังรู้จักเปาโลด้วยเช่นกัน ในกิจการ 16 มันรู้ว่าเปาโลเป็นผู้รับใช้พระเจ้า หรือ พูดง่าย ๆ ว่า ผีรู้จักคริสเตียนว่าคริสเตียนเป็นใคร รู้ว่าคน ๆ นี้เป็นคริสเตียนที่มีพระเยซูคริสต์อยู่ข้างในหรือไม่
ตัวอย่างจากเรื่องป้าของผม ชี้ให้เห็นว่า เมื่อมันเห็นพระเยซูคริสต์ มันกลัวจนตัวสั่น ไม่กล้าเผชิญกับบุคคล มันมีความรู้สึก มีอารมณ์
ในยากอบ 2:19 เขียนไว้ว่า มันมีเจตนา และความตั้งใจ มันรู้จักขอพระเยซูคริสต์ให้ขับไล่มันเข้าไปอยู่ในสุกร (ลูกา 8:32) ผีถึงมีลักษณะคล้ายกับบุคคล แต่มันไม่มีตัวตนเหมือนกันบุคคล

"ท่านเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นหนึ่ง นั่นก็ดีอยู่แล้ว แม้พวกปีศาจก็เชื่อ และกลัวจนตัวสั่น" (ยากอบ 2:19)

พระเยซูคริสต์บอกว่า ผีไม่มีตัวตน มันอาจจะปรากฎโดยอาศัยสัตว์เป็นเครื่องมือของมันก็ได้ ปลอมตัวเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าก็ได้
ชาวเขาได้อ้างถึงผีม้าบ้าง ผีเสือบ้าง เหมือนสัตว์ แต่แท้ที่จริงเป็นผีที่สวมรอย ฝรั่งมักพูดถึงผีเกี่ยวกับแมวดำ เป็นต้น
พระคัมภีร์บอกว่า มันมีลักษณะเบี้ยว และคด มันโน้มเอียงไปในทางชั่วทุกประเภทเสมอ ดังนั้น จึงมีชื่อว่า ผีโสโครกบ้าง มารร้ายบ้าง ดังบันทึกในลูกา 11 และมีชื่ออีกว่าอำนาจแห่งความมืด
ที่จริงผีมีไหวพริบมาก มีความรู้มากกว่ามนุษย์ มันรู้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร มันมีกำลัง มีอำนาจเหนือกว่ามนุษย์ ดูในกิจการ 9 และ มาระโก 5
เราคงจะเคยสังเกตคนที่เคยถูกผีอำ แล้วพยายามจะดิ้น พยายามจะต่อสู้ แต่ทำไม่ได้โดยกำลังของเรา พระคัมภีร์จึงบอกอย่างชัดเจนว่า เราจะต่อสู้วิญญาณชั่วด้วยเนื้อหนังและเลือดเนื้อของเราไม่ได้ ไม่มีทางจะชนะ
ผมเคยพยายามบ่อย ๆ เมื่อขณะที่อยู่กับคุณปู่ ซึ่งเป็นหมอผี วิญญาณชั่วมันมารบกวนและมันมานั่งทับบ้าง มาดึงขาบ้าง มันมาทำให้เกิดอาการอึดอัด หายใจไม่ออก ดิ้นไม่ได้ ผมพยายามสุดเหวี่ยง แต่ก็เอาชนะมันไม่ได้
แต่เมื่อผมเป็นคริสเตียน ผมพบเคล็ดอยู่อย่างหนึ่งว่า เราต้องใช้อำนาจของพระคริสต์ที่อยู่ในเรา พระเยซูคริสต์บอกว่า ผู้ที่อยู่ในเรานั้นเป็นใหญ่กว่าผู้ที่เราเองมองเห็นและมองไม่เห็นข้างนอก
ฉะนั้น ถ้าจะต่อสู้กับวิญญาณชั่ว ก็ต้องต่อสู้ด้วยวิญญาณของพระคริสต์ อำนาจของพระคริสต์จึงจะสามารถชนะมันได้ เพราะเราไม่มีกำลังเหนือมัน มันมีกำลังเหนือเราต่างหาก
มันมีจำนวนเป็นกอง เข้าสิงด้วยกันเวลาเดียวกันมากมายในจิตใจของคนทั้งหลาย
พระคัมภีร์บันทึกไว้ให้รู้ว่า มันมีจำนวนมากเป็นกอง ๆ
เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า ผีสามารถทำให้วัตถุลอยเลื่อนเคลื่อนได้ จริง ๆ แล้ว สถานที่ หรือสิ่งของ รูปเคารพ หรือ ต้นไม้เหล่านั้น ไม่มีฤทธิ์ ไม่มีอำนาจ ทำอะไรไม่ได้ แต่เพราะที่ที่นั่นถูกสิงโดยวิญญาณชั่ว มันจึงสามารถทำอะไรต่ออะไรได้เหมือนกัน
เมื่อผมยังอยู่กับคุณปู่นั้น คุณปู่เคยทำสิ่งที่เรียกว่า "วัวธนู" เอาหนังสัตว์จากชิ้นใหญ่ ๆ มาเสกให้เล็กลง แล้วก็ปล่อยให้ไปทำร้ายคน ไปทำอันตรายต่อบุคคลที่เป็นศัตรูของเรา

ดอรีน ผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยเป็นราชินีหมอผีอยู่ทีประเทศอังกฤษ เธอเป็นพยานให้ฟัง หลังจากที่เธอได้เชื่อพระเยซูคริสต์แล้วว่า แต่ก่อนเธอเคยสามารถสั่งในนามของซาตาน
เธอเล่าว่า วันหนึ่ง พวกหนังสือพิมพ์จะมาสัมภาษณ์เธอ พวกหมอผีทั้งหลายที่เป็นสมาชิกกลัวมาก เพราะกลัวพวกหนังสือพิมพ์จะรู้แหล่งที่พวกเขาอยู่
ที่จริง บ้านที่นมัสการ หรือบวงสรวงพวกภูตผีปีศาจนี้ ตั้งอยู่กลางแจ้งเลย ไม่มีต้นไม่สักต้นหนึ่งบนภูเขา แต่เมื่อนักหนังสือพิมพ์ไป เธอสามารถอธิษฐานในนามของลูซิเฟอร์ ให้บ้านทั้งบ้านหายไป โดยที่พวกหนังสือพิมพ์หาไม่พบ
วิญญาณชั่วมันทำสิ่งเหล่านี้ได้เหมือนกัน แต่มันใช้อำนาจไปในการที่ชั่วทั้งหลาย ยิ่งชั่ว ยิ่งเห็นการอัศจรรย์มาก นั่นเป็นการชั่ว
แต่สำหรับพระเจ้านั้น ยิ่งบริสุทธิ์ ยิ่งเห็นการอัศจรรย์ของพระเจ้า

ภูตผีปีศาจทั่วไปมันทำงานกันอย่างไร

ผีเป็นลูกน้อง เป็นลูกมือของซาตาน ผีไม่เคยหยุดยั้งที่จะวิ่งเต้น ทำให้แผนการอันเลวร้ายของซาตานสำเร็จ ดู 1เปโตร 5:8 และ โยบ 1
ผีไม่ใช่จะรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง หรืออยู่ทุกหนทุกแห่งโดยลำพัง แต่ผีมีจำนวนมากและมีองค์การบริหาร มันสามารถที่จะแพร่ไปทั่ว มันจึงก่อกวนในทุกสถานที่ตลอดเวลา อย่าคิดว่ามันสามารถจะอยู่ทุกแห่งได้ในเวลาเดียวกัน มันมีพรรคพวกของมันมาก
มันรบกวนเด็ก ๆ เด็ก ๆ จะเห็นทูตสวรรค์ หรือวิญญาณชั่วง่ายกว่าผู้ใหญ่ ไม่ทราบว่าเพราะอะไร อาจเป็นเพราะว่า มีบาปน้อยกว่า หรืออย่างไรไม่ทราบ แต่ผมสังเกตเห็นอย่างนั้น
มีผู้หญิงคนหนึ่ง ที่พ่อของเธอป่วย ศิษยาภิบาลก็อธิษฐานวางมือบนชายคนนั้น ขณะที่วางมือนั้น ลูกสาวของเขาเรียก "แม่...แม่ หนูเห็นมีชายคนหนึ่ง นุ่งขาวห่มขาว กำลังวางมือบนคุณพ่อด้วยหละ"
ที่เธอเห็นนั้น เป็นทูตสวรรค์ ผู้ใหญ่ไม่เห็น แต่เด็กเห็น
ลูกสาวของผมเคยบอกว่า "พ่อ...พ่อ มีผู้ชายอยู่ที่หน้าต่าง" แต่ผมกลับไม่เห็น
เพราะเหตุนี้ จึงอธิษฐานต่อพระเจ้า "พระองค์เจ้าข้า นี่เป็นอะไร พระเจ้าข้า ขอสำแดงให้ข้าพระองค์เห็นด้วย"
เวลานั้น พระเจ้าเปิดตาผมให้เห็น ว่ามีเงาเหมือนกับผู้ชายอยู่ที่หน้าต่าง เป็นลักษณะเหมือนกับคน แต่ไม่มีตัวตน
ผมขอบคุณพระเจ้า และขับไล่ในนามพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเรธ มันก็ไปตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
แล้วผมก้าวเข้าไปหาลูกสาว อธิษฐานสั่งวิญญาณชั่วในเวลานั้นว่า ตั้งแต่นี้ไป เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะมารบกวนลูกอีกต่อไป เพราะลูกของผมมีเจ้าของแล้ว คือ พระเยซูคริสต์ จนกว่าเขาเองจะรู้จักบัรรลุนิติภาวะที่จะตัดสินใจของเขาเอง ต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเป็นส่วนตัว
ตั้งแต่นั้นมา ในคืนเดียวกันนั้น ลูกสาวของผมบอกว่า "พ่อ...พ่อ ผู้ชายคนนั้นกำลังเดินลงจากบ้านไปแล้ว หน้าเศร้า ๆ"
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผู้ชายคนนั้นที่ลูกสาวได้เห็น ไม่มาอีกต่อไปเลย
ลูกสาวของผมเคยถามถึงอยู่เสมอ ทำไมผู้ชายคนนั้นไม่มา
ผมบอกกับลูกสาวว่า มันไม่มาหรอก มันเป็นวิญญาณชั่ว ไม่ต้องไปพูดถึงมัน เพราะเดี๋ยวนี้ ลูกจอยมีเจ้าของแล้ว มันจึงไม่กล้ามาแตะต้อง
ฉะนั้น ผมขอเน้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ถ้าเป็นคริสเตียนแต่ชื่อ วิญญาณชั่วยังมีโอกาสสิง ยังมีโอกาสเข้าได้ แต่ถ้าบังเกิดใหม่แล้ว มันทำอะไรเราไม่ได้ เพราะเป็นลูกของพระเจ้า
มันทำงานให้เกิดความแตกแยก มันอยู่เบื้องหลังการบริหารประเทศชาติทั้งหลายในโลก มันคอยหาโอกาสที่จะทำลายทำร้ายกัน ในยอห์น 5:19 และมันสนับสนุนมนุษย์ให้ละทิ้งพระเจ้า หันไปหารูปเคารพ ในเฉลยธรรมบัญญัติ 32 และ สดุดี 69 และอีกมากมายที่ปรากฎในพระวจนะของพระเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้
พระคัมภีร์ยังบอกต่อไปว่า มันอยู่เบื้องหลังคำสอนที่เป็นเหตุที่ให้คริสตจักรแตกแยกกัน ใน 1ทิโมธี 4:1-4 อธิบายเรื่องนี้อย่างชัดเจน
ในมัทธิว 13 บอกว่ามันได้ชิงเอาพระวจนะจากใจ มันนำคำสอนผิดเข้ามา (1ยอห์น 4)
มันได้ทำร้ายร่างกายคนหลายวิธีด้วยกัน เช่น ผีใบ้ ผีตาบอด และ ผีหลังโกงที่ได้เข้าสิง มันทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า โรคทุกชนิดมาจากผี แต่บางครั้งที่ผีเป็นสาเหตุของโรคก็ได้ ความจริงโรคอาจจะเกิดจากสาเหตุหลายประการด้วยกัน เช่น จากความบาป หรือจากเชื้อโรค หรือจากกรรมพันธุ์ หรือพระเจ้าอาจจะอนุญาตให้สิ่งเหล่านี้เข้ามาก็ได้ หรืออาจจะเป็นผีเข้ามารบกวนในร่างกายของเขาก็ได้
ฉะนั้น วิธีรักษาจึงไม่เหมือนกัน บางครั้ง ต้องสารภาพบาปของเขา บางครั้งต่อกินยารักษา บางครั้งต้องวางมืออธิษฐาน บางครั้งต้องขับผี ในฐานะที่เราทั้งหลายเป็นคนของพระเจ้า ขอให้สังเกตว่าในแต่ละกรณีเราควรจะปฏิบัติอย่างไร เพื่อเราจะไม่ทำอะไรไปในทางที่ไม่ถูกต้อง
ผีอาจจะเข้ารบกวนระบบจิตใจของเราก็ได้ บางครั้งมีคนถูกบังคับให้ไม่ใส่เสื้อผ้า เช่น ผีโสโครก ในลูกา 8 บางครั้งมีคนถูกบังคับให้ทำลายชีวิต ฆ่าตัวเอง
ผมอยากจะยกตัวอย่างเป็นชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกผีเข้า ก็เพราะเหตุว่าเธอเองไม่ได้มีชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์ เมื่อผีเข้าในชีวิตของเธอแล้ว แปลกเหลือเกิน มันมาในลักษณะที่จะเอาชีวิตของผู้หญิงคนนี้ ก่อนนั้นเธอไม่เคยมีกำลัง เพราะไม่ได้กินข้าวมาหลายวันแล้ว เหมือนกับว่าจับไข้ได้ป่วย และเป็นทุกข์ถึงเรื่องปัญหามากมาย จนถูกวิญญาณชั่วรบกวน
แปลกมาก ขณะที่ผีไม่ได้เข้าในตัวเธอ เธอลุกไม่ขึ้น แต่เมื่อผีเข้าในตัวเธอ เธอก็วิ่งได้ วิ่งเร็วขนาดที่คน 3-4 คนจับแทบไม่ค่อยทัน แล้วไปไหน มันจะวิ่งไปให้รถชนตาย
ขอบคุณพระเจ้าที่อำนาจของพระคริสต์มีชีวิตและอำนาจเหนือมัน เมื่อสั่งในนามของพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธให้หยุดทันที เธอล้มทันที และต้องหามเธอกลับบ้าน นี่แหละมันมาในลักษณะในรูปต่าง ๆ เพื่อหาวิธีที่จะทำลาย
ลักษณะของผีท้องถิ่นในประเทศไทยที่เราเห็น ๆ กันอยู่ตามความเชื่อของคนไทยเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวไทยภูเขาอ้างถึงผีว่าปรากฎได้หลายวิธีด้วยกัน เช่น ผีดิบ คือ คนที่ผีเข้าแล้วไปทำร้ายผู้อื่น บางทีก็ไม่รู้ตัว ผีกระสือ เช่นเป็นผู้หญิงที่ลอยออกจากร่างของคนในเวลากลางคืน มีไฟออกทางจมูกหากินเขียด กินกบ อะไรต่ออะไรพวกนั้น ผีโพง ที่คนรู้จักกันดี เป็นผีผู้ชายลอยออกจากร่างในเวลากลางคืนเหมือนกัน มีไฟออกจมูก หากินกบ หาเขียด ผีพวกนี้ดุกว่าผีกระสือ ผีกระ ผีปอบ เป็นผีที่กินจิตใจคน และจะออกจากเจ้าตัวเข้าทำร้ายผู้อื่น
ในทางเหนือมีผี 2 ประเภท เรียกว่า ผีหงอน เป็นแบบชนิดที่มีหงอน หรือไม่มีหงอน เรื่องนี้เป็นสิ่งใหม่สำหรับผม
บางคนบอกว่าเป็นผีหลอกปรากฎเป็นคนก็ได้ เป็นเสือก็ได้ เป็นหมา เป็นงู เป็นสมิง อะไรต่ออะไรพวกนี้
ผีเข้าในวัตถุ เช่น ทำหุ่นคนด้วยฟาง แล้วก็เชิญวิญญาณผีเข้าไป แล้วเอาปากกาใส่ที่มือหุ่นนั้น มันก็เลื่อนเคลื่อนไหวไปเขียนเป็นภาษาไทย ภาษาจีนก็ได้ ผีเข้าไม้กวาด บุ้งกี๋ ตะกร้า กระด้ง ถ้วยแก้ว อะไรต่ออะไรที่คนไทยเรารู้จักกันดีพอสมควร เมื่อพูดถามถึงมัน มันก็จะตอบ มันตอบด้วยวิธีต่าง ๆ กัน ที่จริงถ้าจะพูดถึงเรื่องพวกนี้คงไม่มีวันสิ้นสุด
พระคัมภีร์ห้ามคริสเตียนเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ นอกจากจะช่วยคนที่ตกเป็นทาสให้พ้นจากอำนาจของวิญญาณชั่วร้ายเหล่านี้ ขอจำไว้เถิดว่า คริสเตียนไม่ควรจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องการบวงสรวงพวกภูตผีปีศาจ ผีถ้วยแก้ว ไม่ควรจะมีส่วนเป็นอันขาด


ลักษณะของคนที่ถูกผีเข้า

คำจำกัดความของผีเข้าสิง ตามภาษาเดิมในพระคัมภีร์ คำที่ใช้ไม่เจาะจงชัดเจนเท่าภาษาไทย ภาษาเดิมมีความหมายว่า "ผีรบกวน เป็นทุกข์ลำบากยิ่งนัก" ในมัทธิว 15:22
แต่เวลาเดียวกัน ก็มีการสั่งให้ผี "ออก" ฉะนั้นดูเหมือนว่าผีต้อง "เข้า" ถ้ามันถูกไล่ออก
ในมัทธิว 12:43-45 อธิบายด้วยว่า ร่างกายของมนุษย์ คือที่ ๆ ผีชอบอาศัยอยู่ และหาโอกาสที่จะอยู่มากกว่า 1 ตัวก็ได้ น่าแปลกเหมือนกัน การที่ผีเข้าหรือผีรบกวนนั้น อาจจะมีลักษณะเบาหรือรุนแรงก็ได้ แล้วแต่กรณี
ฉะนั้น บางคนบอกว่าคนที่ถูกผีรบกวนกับคนที่ถูกผีเข้าไม่เหมือนกัน อันนี้อาจจะเป็นความจริง ดูกิจการ 5:16 แต่วิธีรักษามีวิธีเดียว ฉะนั้น เราอาจจะไม่ต้องเสียเวลามากในการสังเกตว่าผีรบกวนหรือผีสิง เราต้องบอกผู้ที่ถูฏผีเข้าหรือผีรบกวนนั้นให้หายกลัว อธิบายว่าเป็นการสิงหรือการรบกวนก็แล้วแต่ ย่อมสามารถรับการปลดปล่อยได้โดยฤทธิ์เดชอำนาจของพระเยซูคริสต์
เมื่อบุคคลอีกผู้หนึ่งเข้าครองในคนนั้น จะมีการเปลี่ยนแปลงในหลายด้านด้วยกัน เช่น ดูลักษณะของคนที่ถูกผีเข้าในมาระโก มีถึง 7 ประการด้วยกัน

1. เสียงเป็นเสียงของคนละคน

อาจจะใช้คนละภาษาที่เจ้าตัวไม่รู้เลย แต่บางทีอาจจะใช้เสียงเดียวกับเจ้าตัวได้ อันนี้ก็แล้วแต่กรณี แต่คนนั้นจะยอมรับบางสิ่งบางอย่างซึ่งเจ้าตัวไม่สามารถยอมรับ เป็นสิ่งแปลก เช่น ความลับบางอย่างที่เจ้าตัวไม่อยากเปิดเผย ก็เปิดเผย เช่น มีคนหนึ่งที่ผีเข้า ผมบังคับวิญญาณชั่วในนามของพระเยซูชาวนาซาเร็ธให้ตอบว่ามาทำไม
วิญญาณชั่วตอบว่า "มาเพราะนายสั่งมา"
ผมย้ำอีกว่า "มาทำไม"
มันก็บอกว่า "มาเอาชีวิต"
ผมจึงถามว่า "ทำไมจะต้องมาเอาชีวิต"
วิญญาณชั่วก็บอกว่า "เพราะนอกใจ"
ใช่ คนนั้นที่ถูกผีเข้าได้นอกใจสามีของเขา วิญญาณชั่วได้เปิดเผยสิ่งนี้ซึ่งคนปกติคนนั้นไม่เคยเปิดเผย
เมื่อรู้แล้ว ผมไม่ได้บอกเขาว่า เขาไปทำมิดีมิร้ายอะไรมา เพราะถ้าบอก เขาต้องรับสารภาพโดยจำเป็นต้องรับสารภาพ มันไม่ได้มีความหมายอะไร
ผมจึงถามผู้หญิงคนนั้นว่า "คุณต้องการจะรับชีวิตใหม่อย่างแท้จริงไหม ถ้าต้องการจะรับชีวิตใหม่ คุณจะต้องสารภาพบาปของคุณก่อน แล้วการสารภาพบาปนี้ คุณจะต้องพูดจากใจจริงของคุณ ไม่ใช่ผมชี้ให้คุณบอก"
สุดท้ายเขาก็ยอมรับสารภาพ และวันนั้น วินาทีนั้นเอง ที่เขาสารภาพและต้อนรับพระเยซูคริสต์ ถึงแม้ว่าเขาเคยต้อนรับมาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่เคยมั่นใจว่าเขาเองเป็นลูกของพระเจ้า เพราะบาปบางอย่างที่เขาไม่ได้สารภาพกับพระเจ้า สุดท้ายวันนั้นเป็นต้นมา ผีเข้าไปในตัวเขาไม่ได้ มารบกวนวนเวียนอยู่เหมือนกัน แต่เข้าไม่ได้ นี่คือลักษณะของคนที่ผีเข้า มันจะพูดในสิ่งที่ปกติเจ้าของหรือคนนั้นที่ถูกเิข้าจะไม่ยอมรับ

2. มีการเปลี่ยนแปลงระบบร่างกาย

ประเดี๋ยวอาจจะมีฤทธิ์แรงสูง และต่อมาประเดี๋ยวอาจจะหมดแรง เช่น ผู้หญิงคนนี้ทีไ่ด้พูดถึง เมื่อเวลาผีเข้า ไม่มีแรง แม้กระทั่งจะเดิน แต่เมื่อเวลาผีเข้าแล้ว มีกำลังผิดปกติ วิ่งจนคนสามสี่คนจับรั้งไม่อยู่

3. มีความโกรธแค้นอย่างรุนแรง

ในมาระโก 5:4 เมื่อมีอารมณ์โกรธแล้วโกรธอย่างจับจิตจับใจ โกรธอย่างร้ายแรงจนขนาดที่ว่าระเบิดออกมาเป็นการกระทำ

4. มีความเสื่อมทางสภาพจิต

คือ มีสภาพจิตที่ไม่ปกติ เช่น วิ่งเข้าหาพระเยซูคริสต์ ขอให้สังเกตว่า พระคัมภีร์ตอนนั้นบอกว่า มันวิ่งเข้าหาพระเยซูคริสต์ "กลัวจนตัวสั่น"

5. ต่อต้านสิ่งที่เป็นฝ่ายวิญญาณอย่างรุนแรง

ในมาระโก 5:7 เรื่องนี้ขอให้เข้าใจว่าเราจะต้องสังเกตและลองวิญญาณ ทดสอบดูว่าวิญญาณนั้นเป็นวิญญาณที่มาจากวิญญาณชั่วหรือไม่ พระคัมภีร์ได้ชี้ให้เราเห็นชัดว่า วิญญาณใดที่ยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าที่บังเกิดมาเป็นมนุษย์ วิญญาณนั้นก็เป็นมาจากพระเจ้า ฉะนั้น คุณมีสิทธิ์ที่จะสังเกตและพิสูจน์วิญญาณเหล่านี้ได้เหมือนกัน
ผมเคยมีประสบการณ์เมื่อเจอวิญญาณชั่ว อยากรู้ว่ามันเป็นวิญญาณชั่วหรือไม่ ผมจะเทศนาหรือไม่ก็อธิษฐาน แต่การอธิษฐานต่อหน้าผู้หญิงหรือผู้ชายที่ถูกวิญญาณชั่วเข้าสิง ผมไม่หลับตา เพราะเคยมีประสบการณ์ว่าเมื่อขณะอธิษฐานถึงเรื่องฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า เรื่องการตายของพระเยซูบนไม้กางเขน เรื่องพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่ชนะวิญญาณชั่ว เมื่ออธิษฐานถึงตอนนี้มันสั่น มันทนอยู่ไม่ได้ และมันเริ่มสำแดงอาการของมันออกมา ทันที่ที่จะทำร้ายร่างกายของเรา ตั้งแต่นั้นมา ผมไม่เคยหลับตาอธิษฐาน เมื่ออธิษฐานขับไล่วิญญาณชั่ว ต้องลืมตาอยู่ แล้วเทศนาให้มันฟังถึงเรื่องฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า

6. อาจจะมีการขอย้ายไปที่อื่น ๆ

เช่น ในกรณีผีขอเข้าไปในสุกร (มาระโก 5:13) หรือเข้าในวัตถุ หรือบุคคลอื่น ๆ ก็ได้

7. อาจจะมีการสังเกตรู้บางสิ่งบางอย่างที่นอกเหนือธรรมดาได้

เช่น มาระโก 5:7 มันสังเกตรู้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร ลักษณะอย่างอื่น ๆ ที่สังเกตโดยทั่วไป ถ้ามีบางคนที่นิสัยเลว หรือบังคับตัวเองไม่ได้ในเรื่องเพศก็ดี หรือเรื่องความโกรธแค้นก็ดี แม้แต่ความกลัวหรือการทรมานทางจิตใจก็ดี ความคิดแปลกในแง่หนึ่งแง่ใดก็แล้วแต่ อาจจะมีเบื้องหลังของการถูกรบกวนจากวิญญาณชั่วหรือผีก็ได้ การมีใจขมขื่น ไม่ให้อภัยต่อกัน ถ้าสารภาพแล้วอย่างจริงใจก็ยังไม่ลืม คงเป็นผีซึ่งเป็นเบื้องหลังในเรื่องนี้ เพราะการพ้นภาวะนั้นไม่ใช่ด้วยการสารภาพอย่างเดียว แต่ด้วยการขับผีออกในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้าด้วย



สาเหตุที่ผีเข้า

ในที่นี้อยากจะกล่าวเพื่อเป็นเกร็ดความรู้ที่เราทั้งหลายควรจะเข้าใจบ้างพอสมควร

1. การไม่ยอมละทิ้งสิ่งที่ชั่ว

ส่วนมากจะเป็นกรณีนี้ คนนั้นไม่ยอมละทิ้งสิ่งที่ชั่ว กลับหมกมุ่นเอาใจใส่ จึงเป็นการทอดสะพานให้กับผีที่จะมาเข้า เหมือนกับผู้หญิงคนนั้น ทำผิดไปแล้วยังทำผิดอีก ทำแล้วทำอีก จนกระทั่งเป็นสื่อให้กับวิญญาณชั่วที่จะเข้าสิงเขา
แต่บางกรณี เช่น เด็กไร้เดียงสา ผู้เชี่ยวชาญได้สำรวจเรื่องนี้ว่า เขาสามารถสังเกตว่าเด็กนั้นมีส่วนที่เกี่ยวกับบิดา มารดา ปู่ย่าตายาย ที่เคยเล่นกับผีมาก่อนในอดีต ซึ่งมีผลทอดถึงสามชั่วอายุคน นี่เป็นสิ่งที่เขาสังเกตทั่วไป และตรงกันกับอพยพ 20:4-5

"อย่าทำรูปเคารพสำหรับตน เป็นรูปสิ่งใดซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือบนแผ่นดินเบื้องล่าง หรือในน้ำใต้แผ่นดิน อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูป เหล่านั้น เพราะเราคือพระเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าที่หวงแหน ให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชัง เราจนถึงสามชั่วสี่ชั่วอายุคน" อพยพ 20:4-5

ซึ่งผมเป็นพยานแล้วว่า วิญญาณชั่วถ้ามันเอาเราไม่ได้ มันจะเอาลูกหลานเรา
ฉะนั้น ทุกครั้งเมื่อมีคนกลับใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ผมจำเป็นต้องให้เขาสารภาพและตัดความสัมพันธ์กับวิญญาณชั่ว โดยที่คนนั้นจะต้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกันอีกต่อไป ตัดสัมพันธ์กันเลยทันที มิฉะนั้น เราอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ถูกการรบกวนจากวิญญาณชั่วในรูปนี้ก็ได้

2. การปรนนิบัติรูปเคารพ

หรือแม้แต่เล่นกับเรื่องเวทมนตร์คาถา หมอดู โชคชะตาราศี ดูลายมือ ผีถ้วยแก้ว หรือเป่าคาถาอาคม หรือเข้าทรงติดต่อกับผู้ตายหรือหมอผี การทำเสน่ห์ยาแฝด การปั้นรูปรอย การกระทำเหล่านี้เป็นช่องทางที่ผีเข้าสิงได้ง่ายที่สุด
ผู้หญิงคนหนึ่งที่ภาคกลาง เห็นคนเขาเล่นเข้าทรงกันมาก ผู้หญิงคนนี้อยากจะหายป่่วย จึงไปเข้าทรงกับเขา สุึดท้ายกลายเป็นคนทรงไป เพราะการได้เล่นกับสิ่งนี้ก็เป็นสื่อที่ชักนำวิญญาณชั่วที่จะเข้าสิงในคนเหล่านี้ และการเข้าไปร่วมประชุมดูผีเข้า หรือในทำนองพิธีบวงสรวงหรือการทำอะไรก็แล้วแต่ หรือแม้แต่การที่จะเข้าไปในบางแห่งซึ่งอาจจะเป็นเหตุให้ผีเข้าได้
มีผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นพยาบาลอยู่ที่ภาคใต้ เขาเป็นคริสเตียน แต่คงจะเป็นคริสเตียนแต่ชื่อ คือยังไม่กลับใจอย่างแท้จริง เมื่อมีการเข้าทรงกันที่ปัตตานี ผู้หญิงคนนี้อุตส่าห์ลงทุนขึ้นรถมาดูการเข้าทรงเจ้าแม่ที่่ปัตตานี แล้วสุดท้าย ผู้หญิงคนนี้ถูกผีเข้า เพราะการที่เธอมีส่วน มีความตั้งใจ มีเจตนานั้น ก็เท่ากับว่าเธอมีใจศรัทธาอยู่กับสิ่งเหล่านั้น และเมื่อมีใจศรัทธาอยู่กับสิ่งเหล่านั้น ก็แน่นอนทีเดียว ย่อมเป็นสื่อให้วิญญาณนั้นเข้ามาสิงอยู่ในชีวิต ฉะนั้น ขอให้เราทั้งหลายที่เป็นคริสเตียนไม่ควรจะข้องแวะกับเรื่องนี้เลย

3. การซื้อเครื่องรางของขลังมาเก็บไว้

ทั้งเก็บไว้ในครอบครองของเรา หรือในครอบครัวของเรา โดยไม่รู้ตัว นี้ก็เป็นช่องทางให้ผีเ่ล่นงาน หรือให้ผีมีบทบาทในชีวิตของเราก็ได้
มีมิชชันนารีคนหนึ่ง กำลังกลับประเทศของเขา ก็ซื้อรูปปั้นที่เป็นรูปตุ๊กตาสวย ๆ ซึ่งเป็นเหมือนกับพระนั่งอยู่ มีหัวแหลม ๆ อะไรทำนองนั้น เขาซื้อเพื่อจะไปประดับบ้านของเขา เมื่อเอาวัตถุนี้เข้าไปไว้ในบ้าน สิ่งที่เกิดขึ้นในครอบครัวของเขา คือ เกิดเบื่อหน่าย ไม่อยากอ่านพระคัมภีร์ เบื่อหน่ายไม่อยากอธิษฐาน เบื่อหน่ายไม่อยากเข้าร่วมประชุมของคริสเตียน เบื่อหน่ายไม่อยากนมัสการ
สุดท้าย ผู้ชายคนหนึ่งที่สามารถสังเกตวิญญาณได้ ก็ถามคนนั้นว่า "บ้านของคุณมีของจำพวกที่เป็นรูปเครื่องรางของขลังมั้ย หรือเป็นรูปปั้น"
มิชชันนารีคนนี้คิดไปคิดมา ก็จำได้ว่า ตัวเองซื้อรูปปั้นรูปหนึ่งมาจากต่างประเทศ คิดว่าจะซื้อมาประดับ ไม่ได้คิดว่ามันจะมีพิษสงอะไร แล้วก็เอามาไว้ในบ้าน
แล้วคนถามก็แนะนำว่าให้เอาสิ่งนั้นไปทิ้งเสีย หลังจากที่ทิ้งรูปปั้นนั้นแล้ว บรรยากาศในครอบครัวก็ดียิ่งขึ้น ทั้งครอบครัวก็สนใจ ขะมักเขม้น เอาใจใส่ รักที่จะสรรเสริญพระเจ้า
ถ้าเรารู้เบื้องหลังในการปั้นรูปเคารพ เราจะรู้ว่าอันตรายขนาดไหนที่จะเอารูปปั้นรูปเคารพเหล่านั้นมาไว้ในบ้านของเรา บางทีเราคิดว่ารูปสวยเอาไว้ประดับบ้าน ขอให้ระวังให้ดี ถ้าคุณไม่รู้เบื้องหลังจริง ๆ จงอย่าซื้อดีกว่า เพราะเป็นอันตรายต่อวิญญาณจิดของเรา มีการต่อต้านเป็นพิเศษในครอบครัวเลยทีเดียว
คุณรู้ไหม เวลาเขาจะปั้นรูปหรือหล่อรูปแต่ละครั้ง เขาจะสร้างหอไว้สี่มุม และรูปปั้นจะอยู่ตรงกลาง แต่ละมุมจะมีพระ 5 องค์ไปสวดทั้งวันทั้งคืนสับเปลี่ยนกัน 7 วัน 7 คืน สวดอยู่อย่างนั้นแหละ และคำสวดนั้น ถ้าคุณเข้าใจความหมาย จะรู้ว่าเป็นการสวดอัญเชิญวิญญาณทั้งหลาย เข้ามาสิงสถิตในรูปปั้นนั้น รูปปั้นไม่มีความหมายอะไร แต่ที่สำคัญคือวิญญาณต่าง ๆ ได้เข้าไปอยู่ในรูปปั้นนั้น มันอยากจะอยู่ในนั้น มันไม่ต้องการจะหนี มันคิดว่านั่นที่ของมัน และมันเป็นเจ้าของ และเมื่อเราเอาสิ่งนี้เข้ามาไว้ในบ้านของเรา อันตรายจะเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน ลองนึกวาดภาพเอาดูก็แล้วกัน
ฉะนั้น อย่าให้สิ่งเหล่านี้ เป็นสื่อที่ทำให้บรรยากาศในครอบครัวหรือจิตวิญญาณของคุณหลุดไปจากการติดสนิทกับพระเจ้า และการที่จะมีสิ่งของไม่ว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ที่เกี่ยวกับผี เก็บไว้ในตัวหรือในบ้านนั้นอันตรายมาก ขอจำไว้ให้ดี

4. สิ่งที่เป็นสื่อเกี่ยวกับวิญญาณชั่วเข้าสิง

คือ การผูกมัดขวัญ หรือจุดธูปเทียนบูชา บวงสรวงอะไรต่ออะไร พวกนี้ขอให้ระวังอย่าข้องแวะเป็นอันขาด เพราะนั่นเป็นสื่อให้กับวิญญาณชั่วที่จะมาสิงหรือมาคุมชีวิตเรา

5. การที่มีผู้อื่นใช้ไสยศาสตร์สั่งผี

เช่นมีผู้หญิงคนหนึ่ง เขาเป็นคริสเตียน แต่มีแฟนซึ่งไม่เชื่อพระเจ้า และสุดท้ายแฟนของเขาก็ไปหาหมอผี ทำเสน่ห์กับผู้หญิงคนนี้ ทำให้เขาเกิดมีสติฟั่นเฟือน ถึงกับเพ้อไปเลย และบังคับตัวเองไม่ได้ แต่ขอบคุณพระเจ้า มีคนหนึ่งที่สังเกตวิญญาณสามารถรู้เรื่องนี้ จึงขับไล่ในนามของพระเยซูคริสต์ ทำลายกิจการของผีมารซาตาน ผู้หญิงคนนี้จึงเป็นอิสระ ขอบคุณพระเจ้า
ถ้าไม่ระวัง พวกไสยศาสตร์ หมอผี ถ้าเราไม่ระวังในการดำเนินชีวิต เราอาจจะถูกอิทธิพลของมันก็ได้ ฉะนั้น เราต้องระวังอยู่เสมอ ให้จิตวิญญาณของเราติดสนิทอยู่กับพระเจ้า เพื่อจะเข้มแข็งอยู่เสมอ ไม่อ่อนระอาลง จึงจะต่อต้านกับวิญญาณชั่วได้

6. การเข้าไปตีตัวสนิทกับผู้ที่ทุ่มเทในเรื่องวิญญาณชั่วมาก

เช่น ไปสนิทกับหมอผี ขอจำไว้ว่าอิทธิพลของวิญญาณชั่วนั้น ถ้าคุณไม่ได้ไปเพื่อจะปลดปล่อยเขา แต่ไปเพื่อจะตีสนิทกับเขาเฉย ๆ ระวังอันตราย

ในเรื่องการอัศจรรย์ต่าง ๆ นั้น เราจะต้องพึ่งอาศัยฤทธิ์ของพระเยซูคริสต์ผู้เดียวเท่านั้น เช่น การอัศจรรย์เกี่ยวกับการรักษาโรคไม่ต้องไปพึ่งวิญญาณชั่ว เรื่องวิญญาณชั่วนั้นขอให้มันอยู่ห่างไกลจากชีวิตเรา
ส่วนเรื่องของประทานของพระวิญญาณบริสุทธิ์มีหลายอย่างด้วยกัน ซึ่งดูเหมือนซาตานก็มีของปลอมไว้เกือบครบชุดด้วยเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นการรักษาโรค ซาตานก็มี จะเป็นการพูดภาษาแปลก ๆ ซาตานก็มี
ก่อนคุณแม่ของผมจะเป็นคริสเตียน ท่านไปเข้าทรง และก็ได้อำนาจแปลภาษาแปลก ๆ แต่เป็นอำนาจของวิญญาณชั่ว และการทำนาย ซาตานก็มี ดังนั้น เราจำเป็นจะต้องสังเกตวิญญาณเหล่านั้นว่าวิญญาณนั้นมาจากพระเจ้าหรือมาจากผีมารซาตาน



ชัยชนะเหนือผี

คริสเตียนจะถูกผีเข้าได้หรือไม่ บางคนพูดไปหลายแง่หลายมุม บางคนบอกว่า "ได้" บางคนบอกว่า "ไม่ได้"
ผมอยากจะบอกว่า คนที่เป็นคริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว และติดสนิทกับพระเจ้า วิญญาณชั่วจะเล่นงานคริสเตียนหรือเข้าสิงคริสเตียนคนนั้นไม่ได
การปลดปล่อยวิญญาณจิตที่ถูกเบียดเบียนมีหลายวิธีด้วยกัน แต่ผมอยากจะชี้เพียงบางอย่างให้เรารู้ไว้เพื่อเมื่อเราเจอปัญหาเหล่านี้ เราจะสามารถช่วยเหลือตัวเองได้โดยพระนามขอ่งพระเยซูคริสต์
ประการแรก คือ เราต้องปลดปล่อยโดยชัยชนะของพระเยซูคริสต์ และโดยความตายของพระองค์ พระองค์ได้ปราบพวกภูตผีปีศาจอยู่ใต้พระบาทของพระองค์ เป็นการปลดปล่อยโดยทันทีทันใด (โคโลสี 2:14-15, ฮีบรู 2:14, 1ยอห์น 3:8) นอกจากนี้ พระเยซูได้มอบอำนาจในการมีชัยชนะเหนือผีให้กับลูกศิษย์ของพระองค์แล้วโดยพระนามของพระองค์
ประการที่สอง ในมัทธิว 10:1 มาระโก 3, 16 และ ลูกา 10 บันทึกว่าก่อนที่จะใช้พระนามของพระเยซูคริสต์ สิ่งที่สำคัญ คือเราต้องเตรียมตัวก่อน และต้องวินิจฉัยอย่างถูกต้องด้วย เราควรเข้าใจว่าคุณมีอำนาจของพระคริสต์อยู่ในตัวคุณ และการขับผีเป็นสิทธิของคริสเตียนทุกคนที่เป็นลูกของพระเจ้า เพียงแต่คุณต้องมีความเชื่อในพระนามของพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ แต่ก่อนจะขับผี คุณต้องสังเกตดูให้ดี ให้แน่ใจว่านั่นเป็นวิญญาณชั่ว ไม่ใช่ขับสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่ใช่ว่าพบคนไหนที่สติไม่ดี มีท่าทีแปลก ๆ ก็คิดว่าผีเข้าแล้วขับผีทันที โดยไม่พิจารณา เราควรรู้ไว้ว่าไม่ใช่ทุกกรณีจะเป็นผีเข้าเสมอไป และขอจำไว้อีกว่า ตามประสบการณ์ที่คนมากมายได้ทำกันมา เราไม่ควรจะวางมือบนตัวคนนั้น เพราะจะทำให้ผีดิ้นรบกวนเราเปล่า ๆ เวลาผีเข้า ไม่ต้องไปวางมือ เพราะคุณอาจจะเจอผีรบกวนหรือผีต่อต้านเป็นพิเศษ บางทีคุณอาจจะเอาตัวไม่รอดด้วยซ้ำไป นั่นเป็นประสบการณ์ พระคัมภีร์ไม่ได้อธิบายในเรื่องนี้
ดังนั้น ขอให้เราเพียงแต่สั่งในพระนามของพระเยซูคริสต์ และไม่ใช่กำลังเข้าปล้ำสู้กับคนที่ผีเข้า
ผมเคยเห็นบางคนก่อนจะขับผีต้องเอาหลายคนไปช่วยจับคนที่ถูกผีเข้าให้อยู่สงบเงียบเสียก่อน แล้วค่อยขับผี ตั้งแต่ผมเป็นคริสเตียนมา และมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมไม่เคยไปปล้ำกับผี ไม่เคยปล้ำกับคนที่ผีเข้า
ผมเคยเห็นผู้หญิงคนนั้นที่ถูกผีเข้าแล้วเธอวิ่งขนาด 4-5 คนพยายามจับก็จับไม่อยู่ ผมอยู่ไกลจากเธอมาก สั่งก็ไม่ใช่ตะโกน สั่งเพียงแต่บอกในนามพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธว่า "จงออกมาจากผู้หญิงคนนี้เดี๋ยวนี้" เท่านั้นเอง ผู้หญิงคนนี้ล้มเหมือนกับต้นไม้ที่ถูกตัดขาดล้มลงทันที
ฉะนั้น ผมอยากจะให้เราเข้าใจว่าวิธีการขับผีนั้น แม้จะเตรียมตัว บางครั้งต้องอดอาหารอธิษฐาน แต่การที่จะชนะผีหรือไม่นั้น อยู่ที่ฤทธิ์ของพระนามของพระเยซูคริสต์โดยความเชื่อของเรา
พระเยซูคริสต์ได้ตรัสไว้ครั้งหนึ่ง ตอนที่สาวกไปขับผี แต่ขับผีไม่ออก และคนนั้นได้พาลูกของเขามาหาพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ขับผีออกได้ สาวกก็ถามพระเยซูคริสต์ว่าทำไมพวกเขาจึงขับผีไม่ออก พระเยซูคริสต์ตอบว่า ผีชนิดนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพึ่งพระเจ้ามาก จะขับผีออกได้ก็โดยการอธิษฐานและอดอาหาร
ทำไมต้องอดอาหาร ? ผมอยากจะพูดสั้น ๆ ให้เข้าใจว่า เมื่อร่างกายของเราแข็งแรง เราไม่ค่อยพึ่งพาพระเจ้า เหตุฉะนั้นการอดอาหารเป็นสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้เราไม่พึ่งพาอาศัยในความสามารถของเรา
ผมเคยเห็นผู้รับใช้พระเจ้ามากมายที่ขับผี ขับกันทั้งวันทั้งคืนก็ขับไม่ออก และผีหัวเราเยาะใหญ่ ทำไมรู้ไหมครับ เพราะเขาพึ่งอาศัยความสามารถของเขามากกว่าพึ่งฤทธิ์เดชอำนาจของพระเยซูคริสต์
ฉะนั้น การขับผีไม่ได้ขึ้นกับอำนาจของเรา หรือไม่ได้พึ่งอยู่กับความสามารถของเรา แต่พึ่งฤทธิ์เดชอำนาจของพระเยซูคริสต์ นอกจากนั้น เราควรปล่อยคนที่ถูกผีเข้าให้มีโอกาสเปิดเผยความรู้สึกของเขาด้วย
คนที่ถูกผีเข้า บางครั้งเขาจะมีสติอารมณ์ของเขาเอง บางทีอาจจะมีการสารภาพบาป การยอมรับ หรือการปรับทุกข์เรื่องหนึ่งเรื่องใด ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผีเข้าเหมือนกับผู้หญิงคนนั้นที่ผมเล่าไปแล้ว ผู้หญิงคนนั้นมีปัญหามาก เธอมีจุดอ่อนอย่างหนึ่ง คือ เมื่อมีปัญหา เธอติดอยู่กับปัญหา คิดจนไม่มีเวลากิน ไม่มีเวลานอน เมื่อไม่ได้หลับไม่ได้นอน ร่างกายก็เพลีย เลยเป็นเหตุเป็นสื่อให้ผีเข้า
ในทำนองเดียวกัน เมื่อเราปล่อยให้เขาเปิดเผยถึงความรู้สึกของเขา เพื่อเขาจะมีโอกาสสารภาพแล้ว เราก็ควรอธิบายน้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับเขาด้วย ให้เขาเข้าใจว่าฤทธิ์เดชของพระเจ้านั้น สามารถช่วยเขาให้พ้นจากอำนาจของผีมารซาตานได้ และอธิบายด้วยว่ามีทางเดียวเท่านั้นที่จะหลุดพ้นจากซาตาน คือทางของพระเยซูคริสต์ อธิบายอย่างละเอียดให้เขาเข้าใจถึงความสำคัญที่พระองค์ต้องสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
ผมอยากจะแนะนำให้เข้าใจว่า การที่คุณขับวิญญาณชั่วออกจากคนหนึ่งคนใดที่ถูกผีเข้านั้น วิญญาณจิตของเขา ใจของเขาจะว่าง ควรจะแนะนำให้เขาต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าส่วนตัว เพื่อเขาจะได้พ้นจากอำนาจของผีมารซาตาน และเขาจะชนะวิญญาณชั่วโดยพระเจ้าที่อยู่ในตัวของเขาเอง และไม่ต้องพึ่งเราอยู่ตลอดเวลา
ถ้ามีกลุ่มคริสเตียนอยู่ด้วย ควรสร้างบรรยากาศหรือตั้งกลุ่มอธิษฐาน และร้องเพลงถึงชัยชนะของพระเยซูคริสต์ และบางครั้งผู้นั้นอาจจะช่วยตัวเองไม่ได้เลยในขณะที่เราเองกำลังช่วยเขา ฉะนั้นเราควรจะอธิษฐานขอให้พระเจ้าชำระเขาให้บริสุทธิ์ และเจิมเขาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และให้เราสั่งวิญญาณชั่วในนามพระเยซูคริสต์ให้ออกจากผู้นั้น มันก็จะออกมา
บางทีมันอาจจะพูดอะไรหลายอย่างที่เป็นการหลอกลวง บางทีการสั่งผีให้ออกแต่ละครั้ง เรามักจะถามว่าเป็นใครบ้าง มีจำนวนเท่าไร แต่บางทีผีจะโกหกกับเรา และเราไม่รู้ว่าอะไรเป็นความจริง ฉะนั้นถ้าเราไม่มีของประทานที่สังเกตว่ามันเป็นวิญญาณชนิดไหน เป็นวิญญาณอย่างไร จะไปรู้ชื่อมันก็ไม่จำเป็น ถ้าเรารู้ว่ามันสิง เราก็สั่งในพระนามของพระเยซูคริสต์ทันที (คุณจะรู้ว่าผีเข้าสิงอย่างไร ก็ได้พูดไปแล้วว่า โดยการเทศนาถึงฤทธิ์เดชอำนาจของพระเยซูคริสต์ และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ซึ่งได้ปราบวิญญาณชั่วผีมารซาตานไว้ภายใต้กางเขนของพระองค์ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้มันจะกลัวจนตัวสั่นเลย)
แต่ถ้าผีไม่ยอมออกสักที มันยังทำหน้าตาเฉย บางครั้งสั่งครั้งที่สองก็ไม่ออก ครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ ทำให้เราท้อใจว่า "เอ... อำนาจที่เราสั่งคงไม่มีมากพอที่จะขับมัน" ยิ่งเราสงสัย เราก็จะไม่มีทางขับผีออกได้เลย ฉะนั้น เมื่อคุณสั่งครั้งแรก ผีไม่ออก ก็สั่งย้ำเป็นครั้งที่สอง แล้วย้ำด้วยครั้งที่สามเลย ด้วยความมั่นใจในคำสัญญาของพระเจ้าถึงฤทธิ์เดชอำนาจพระเยซูคริสต์ คุณยิ่งมีความเชื่อ คุณก็สั่งเป็นสิบครั้ง บางทีวิญญาณชั่วมันต่อสู้กับเราจนกระทั่งมันรู้สึกหมดความสามารถแล้ว มันอยู่ไม่ได้แล้ว มันจึงต้องไป ดังนั้นไม่ต้องท้อใจที่ขับผีครั้งแรกไม่ออก
ผมเป็นนักศึกษาบางคนที่ขับปี 3-4 ครั้งไม่ออก ก็กลับมาท้อถอย ว่า "เอ...มันเป็นอะไร ทำไมผีจึงไม่ออก" จงอย่าท้อถอย สั่งโดยความเชื่อ และสั่งต่อไป บังคับมันจนกว่ามันจะออก
บางครั้งผีจะออกโดยไม่แสดงอาการอะไรเลย นอกจากคนนั้นจะกลับมีสติเป็นปกติเท่านั้นเอง แต่ก็อาจจะมีปฏิกิริยาแปลก ๆ หลายอย่าง เช่น เกิดมีอาการลมชัก หรือตะโกน หรือหมดสติ แล้วแต่กรณี
เมื่อผีจะออกแล้ว คุณจะต้องปลอบใจและแสดงความชื่นชมยินดีในพระเจ้ากับเขา และเชิญเขาให้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เรื่องนี้สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น



วิธีป้องกัน

สุดท้าย ผมอยากจะพูดถึงวิธีป้องกันตัวให้พ้นจากเล่ห์เหลี่ยมของซาตานและผี
จากข้อเท็จจริงเหล่านี้ เราควรจะเข้าใจอยู่อย่างหนึ่งว่า วิญญาณชั่วนี้ก็คล้าย ๆ กับพระวิญญาณของพระเจ้าเหมือนกัน ในแง่ที่ว่า ยิ่งเราพูดถึงมันมากเท่าไร มันยิ่งอยู่ใกล้เราเท่านั้น ยิ่งเราพูดถึงมันเท่าไร เรายิ่งเห็นบทบาทหรืออาการของมันมากเท่านั้น
ฉะนั้น ผมอยากขอเตือนเราทุกคน โดยเฉพาะที่เป็นคริสเตียน ว่าเราไม่ควรพูดถึงมันเลย
นิสัยคนไทย ชอบหลอกเด็ก ๆ ถึงเรื่องผี จับกลุ่มกันก็พูดถึงเรื่องผี ชอบดูหนังเกี่ยวกับผี ชอบแสดงอะไรเกี่ยวกับผี จนหน้าจะกลายเป็นเหมือนผี ถ้าเราจะพูดคุยเรื่องผี เราจะต้องจบลงโดยการพูดถึงฤทธิ์เดชอำนาจของพระเยซูคริสต์ ที่มีอำนาจเหนือมัน เพื่อมันจะไม่มีอิทธิพลในการสำแดงอำนาจของมันกับเรา
มีเรื่องแปลกอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ เมื่อคุณพูดถึงใครก็ตามที่เป็นคริสเตียนที่จงรักภักดีต่อพระเจ้า เอาจริงเอาจังกับพระเจ้า เข้มแข็งกับพระเจ้า จงระวังให้ดี เพราะวิญญาณชั่วต้องการที่จะลบล้างคำพูดของคุณ ดังนั้น ถ้าคุณพูดถึงใคร ชมใครเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณจิตในการเอาจริงเอาจังกับพระเจ้า คุณจะต้องรับผิดชอบอธิษฐานเผื่อเขาเป็นพิเศษ เพื่อคนนั้นจะไม่พ่ายแพ้ต้อการทดลอง และยิ่งไปกว่าอะไรทั้งสิ้น ผมอยากจะเน้นความสำคัญในเรื่องนี้ คือ เราควรจะพูดถึงพระเจ้า หายใจพระเจ้า เพื่อพระเจ้าจะได้อยู่ใกล้ชิดกับเรา และเราจะรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย และไม่กลัววิญญาณชั่ว นี่จะเป็นสื่ออย่างหนึ่งที่จะทำให้พระเจ้าปรากฎพระองค์เองกับเรา
ถ้าเป็นไปได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องวิญญาณชั่ว ไม่ต้องกล่าวถึงมัน แต่พูดถึงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่มีชัยชนะเหนือมันดีกว่า
เราควรรู้ว่า อำนาจของซาตานหรือผีนั้นมีจำกัดจริง ๆ มันจะแตะต้องเราในฐานะที่เป็นบุตรของพระเจ้าไม่ได้ 1ยอห์น 4 และ โรม 8 บอกไว้อย่างชัดเจน ฉะนั้น ให้เราพยายามศึกษาถึงกลอุบายของมัน และศึกษาดูว่ามันจะเล่นงานมนุษย์ในรูปแบบไหนบ้าง เช่น ฟ้อง หลอก สร้างความสงสัย ล่อลวงทำให้เราผยองตัวขึ้น ปล่อยตัวตามเนื้อหนัง ทำให้เราท้อถอย ทำให้เราแตกแยก ขัดขวางกัน ในสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ขอให้เราศึกษากลอุบายของมัน เพื่อจะไม่ถูกรบกวน หรือถูกหลอกลวงให้ล้มในจุดนั้น
ผู้รับใช้ของพระเจ้ามักพบการทดลองมากที่สุด ก็คือ การแสวงหาเกียรติยศให้ตัวเอง ซาตานมันชอบให้เราขโมยเกียรติยศของพระเจ้า น้ำหอมมีไว้ประพรม ไม่ใช่มีไว้สำหรับกิน หลายครั้งคนกินน้ำหอมจึงตายเพราะน้ำหอม คุณจะรับใช้พระเจ้าเกิดผลมากขนาดไหนก็ตาม ขออย่าแสวงหาเกียรติยศให้ตัวเองเลย เพราะนี่เป็นการงานของซาตาน พระเยซูคริสต์ได้ชัยชนะซาตานอย่างสิ้นเชิง และพิพากษาซาตานแล้ว พระองค์ชนะความตาย พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย พระองค์สูงเหนือทุกสิ่ง เราควรภูมิใจที่เราสู้มารซาตานได้ด้วยการอยู่ในพระเยซูคริสต์
ชีวิตคริสเตียนที่อยู่ในพระคริสต์จะปลอดภัยที่สุด พระคัมภีร์บันทึกไว้ในพระธรรมยากอบ 4:7 ว่า จงต่อสู้กับมาร และมันจะหนีคุณไป

"เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงน้อมใจยอมฟังพระเจ้า จงต่อสู้กับมาร และมันจะหนีท่านไป" (ยากอบ 4:7)

พระเจ้าประทานยุทธภัณฑ์ทั้งชุดให้เราแล้ว เราสวมไว้แล้วหรือยัง เอเฟซัสบทที่ 6 บอกว่า จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า นี่เป็นวิธีอย่างหนึ่งที่จะป้องกันเล่ห์เหลี่ยมของผีมารซาตาน และเรามีพลังแห่งการอธิษฐาน เรามีฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในกิจการ 1:8 ซึ่งพระเจ้าสัญญาให้เราทุกคนที่เชื่อและวางใจในพระองค์

"แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก" (กิจการ 1:8)

ฉะนั้น ผมจึงอยากจะให้เราทุกคนเตรียมตัวและระวังระไวเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อจะป้องกันยุทธอุบายของมัน และป้องกันตัวโดยการที่จะติดสนิทอยู่กับพระเจ้า วิธีเดียวเท่านั้นที่จะชนะ คือ วิ่งเข้าหาพระเจ้า พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะอยู่ใกล้พระเจ้า และรู้จักฤทธิ์อำนาจที่พระเยซูคริสต์ทรงมีชัยชนะเหนือผีมารซาตานแล้ว



คำพยานของผู้เขียน

ผมเกิดมาในครอบครัวที่มีความเชื่อผสมปนเปกันหลายอย่าง คือ คุณตาเป็นผู้นำทางศาสนาพุทธ ส่วนคุณปู่เป็นหมอผี เมื่อผมเกิดมา คุณปู่ก็มาหาพ่อของผมว่า ผีได้เลือกผมเป็นทายาทหมอผีต่อจากคุณปู่ ดังนั้น ท่านจึงพาผมไปอยู่ด้วย เพื่อจะฝึกฝนวิชาการ เรียนไสยศาสตร์ตามฉบับคุณปู่ ผู้เชี่ยวชาญทางเวทมนตร์คาถา และติดต่อกับผี ทำการอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ เช่น เสกให้บ้านหายไปได้ เดินบนไฟได้ เป็นต้น
เมื่อผมอยู่กับคุณปู่ ท่านสอนวิชาทั้งหลายเหล่านี้ให้ผมจนหมด สอนให้รู้วิธีติดต่อกับผี หรือใช้ผีทำการอัศจรรย์ต่าง ๆ รู้วิธีพูดคุยกับผีเหมือนกับมันเป็นคน เวลาไปไหนมาไหน ผมก็จะเดินหลังท่านไปต้อย ๆ ได้พบได้เห็นท่านทำธุรกิจต่าง ๆ กับพวกผี จนผมเองก็ทำได้
แต่ยิ่งผมเรียนรู้เรื่องผี เรื่องวิญญาณชั่วเหล่านี้มากเท่าไร ก็ยิ่งตกเป็นเหยื่อของมันมากขึ้นเท่านั้น จำได้ว่า คืนหนึ่ง คุณปู่นั่งอยู่ในห้องมืด ๆ คอยรับคำสั่งจากพวกผี ขณะที่ท่านกำลังเจรจากับผีอยู่ มันสั่งให้คุณปู่ทำอะไรบางอย่างที่คุณปู่ไม่ต้องการจะทำ มันก็ทำร้ายท่านจนท่านลงไปนอนกลิ้งอยู่กับพื้น เจ็บปวดเหมือนจะตาย แล้วท่านจึงสวดเป็นภาษาเขมรสู้ผี สักครู่จึงค่อย ๆ หายเป็นปกติ
พอท่านออกจากห้องนั้น ผมก็ถามว่าที่สวดเมื่อกี้แปลว่าอะไร ท่านบอกว่า แปลว่า "ขอยอมแพ้ จะสั่งให้ทำอะไรก็ยอมทำทั้งสิ้น" จากนั้น ผมจึงเรียนรู้ว่า คุณปู่ไม่ได้มีฤทธิ์อำนาจอะไรเหนือผีเลย ที่จริงกลับเป็นเครื่องมือให้พวกมันใช้ตามใจของมัน ผมจึงตัดสินใจเด็ดขาดตั้งแต่บัดนั้นว่า จะไม่ยอมเป็นหมอผีเด็ดขาด ไม่อยากจะเป็นทาสของพวกวิญญาณชั่ว
ดังนั้น เมื่อเรียนจนมัธยมปลาย และคุณปู่เสียชีวิตลง ผมไปไม่ทันดูใจท่าน แต่คุณพ่อเล่าให้ฟังว่า ก่อนท่านสิ้นใจ ท่านยกมรดกทางไสยศาสตร์ทั้งหมดให้ผม นั่นหมายความว่า ผมผู้เดียวที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหมอผีสืบต่อจากคุณปู่
ครั้นเมื่อไปถึงบ้าน ทุกคนมองดูผมเป็นตาเดียวด้วยความหมายว่า ผมคงจะดำรงตำแหน่งหมอผีคนต่อไป ถึงแม้จะยังอายุน้อย แต่ผมบอกพวกเขาว่า ไม่ต้องการเป็นหมอผี ทุกคนจึงผิดหวังมาก
ตอนนั้นมีผู้หญิงคนทรงคนหนึ่งที่ทำงานร่วมกับคุณปู่ คอยทำนายทายักคนที่มาขอให้ดูอนาคตอยู่ด้วย เมื่อผมปฏิเสธ หญิงคนนั้นลุกขึ้นชี้หน้าผม บอกว่า "ถ้าถึงอายุ 21 แล้วแกไม่ยอมเป็นหมอผีล่ะก็ ฉันจะฆ่าแกเสีย" แต่ผมไม่กลัวเลย และยังบอกกับคุณพ่อว่า ผมไม่มีวันยอมเป็นหมอผีเด็ดขาด แม้ต้องตาย ก็ดีกว่า
เมื่อเป็นดังนั้น ผมรู้ว่าผีคงไม่ไว้ชีวิตผมแน่ จึงขอเงินคุณพ่อ บอกว่า ไหน ๆ ก็จะตาย ขอเงินไปเที่ยวให้มีความสุขก่อนตายเถอะ คุณพ่อก็ให้เงินจำนวนมาก และถ้าผมเห็นว่าอะไรจะทำให้ผมมีความสุข ก็ทำทันที เพื่อนฝูงก็มารุมตอมทำให้ชีวิตผมเสื่อมทรามลง กลายเป็นนักพนัน ติดยาเสพติด พิษสุราเรื้อรัง แต่ผมก็ยังไม่เคยพอใจอะไร ยิ่งทำตัวแบบนั้นมากเท่าไร ก็ยิ่งเศร้าหมองมากขึ้นเท่านั้น ผมจึงรู้ว่าวิธีนี้ไม่ช่วยให้มีความสุขเลย ถึงอย่างนั้นก็ช่วยตัวเองไม่ได้
คุณตาบอกว่า ทางที่ดีที่สุด ควรจะไปบวชเณร ผมตกลงเพียงเพื่ออยากจะหาความสุขให้ได้ก่อนตาย ผมบวชเณรอยู่ 2 ปี จนกลายเป็นนักเทศน์ แต่กลับฟุ้งซ่าน และยังไม่พบความสุข แม้ว่าได้พยายามนั่งสมาธิก็แล้ว ทำใจให้ว่าง ปล่อยวางความคิด พอเลิกก็เหมือนเดิม สิ่งที่ทำให้ผมละอายแก่ใจในการเป็นเณร คือ ผมเที่ยวสอนใครต่อใครให้ทำดี แต่ตัวเองกลับทำไม่ได้ ผมจึงสึกออกมาเสีย
ผมเชื่อว่านี่เป็นแผนการของพระเจ้า ถ้าผมไม่เป็นคนเลว ก็คงไม่กลัวตกนรก และคงไม่แสวงหาทางหลุดพ้น จนได้พบพระเยซูอย่างนี้
คราวนี้ผมเดินทางไปหาเพื่อนที่อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท ชวนเขาไปท่องเที่ยวด้วย เพราะเขารู้จักทิศทางทั่วเมืองไทยมาก เขาถามผมว่า อยากเห็นแฟนเขาไหม ผมบอกว่าอยากสิ เขาจึงพาไปที่โรงพยาบาลมโนรมย์ ตอนนั้นราว 9 โมงเช้า ที่โรงพยาบาลมีการประชุมกลางแจ้งที่ตึก OPD คนไข้นอก ผมได้ยินคนไทยพูดเรื่องพระเยซูคริสต์ แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้เกลียดผู้ชายคนนี้ขึ้นมาจับใจ แม้เขาไม่เคยทำร้ายอะไรผมเลย ผมจึงอยากลงมือทำอะไรสักอย่าง แต่ทำไม่ได้ เพราะคนมาก จึงได้แต่หัวเราะเยาะ และทำให้เขาหมดกำลังใจจะได้หยุดเทศน์
ขณะที่ผมปฏิบัติการอันไม่ชอบมาพากลอยู่นั้น เขาก็พูดขึ้นว่า "ทุกคนเป็นคนบาป" ผมบอกว่าไม่เห็นแปลกเลย ผมรู้ว่าผมเป็นใคร แต่เขาบอกว่า "พระเยซูมีฤทธิ์อำนาจยกบาปได้"
คำว่า "ฤทธิ์อำนาจ" นั้นสะกิดใจผมมาก ผมเลยอยากพิสูจน์ฤทธิ์อำนาจนี้ ตามปกติ ก่อนนอน ผมจะสวดมนต์อย่างน้อย 2 ชั่วโมง อธิษฐานกับพระพุทธ และวิญญาณชั่ว ถ้าไม่ทำอย่างนั้นก็นอนไม่หลับ ถูกวิญญาณชั่วรบกวนทั้งคืน
คืนนั้น ผมลองอธิษฐานสั้น ๆ กับพระเยซู บอกว่า "ถ้าพระองค์มีฤทธิ์อำนาจยกบาปได้จริง ทำให้ผมเห็นคืนนี้ ปกป้องให้ผมพ้นจากอำนาจของวิญญาณชั่วเถิด" แล้วผมก็เข้านอน คืนนั้นผมนอนหลับสบายมาก พอตื่นขึ้น ผมตระหนักชัดว่าพระเยซูมีฤทธิ์อำนาจเหนือกว่าวิญญาณชั่วที่รบกวนอยู่ ผมจึงอยากรู้มากขึ้นว่า "พระเยซูเป็นใคร"
วันต่อมา เพื่อนของผมต้องไปสอบผู้ช่วยพยาบาล เขาชวนว่า จะไปสอบด้วยไหม ผมตกลง เราจึงไปขอร้องให้ผู้ควบคุมสอบอนุญาตให้ผมเข้าสอบ ทีแรกเขาไม่อนุญาต เพราะผมไม่มีหลักฐานอะไร ผมขอร้องต่อไป และบอกว่า ถ้าสอบได้จะนำหลักฐานทุกอย่างที่ต้องการมาให้ทันที ผมประหลาดใจมากที่ในที่สุดผมได้รับอนุญาต และสอบได้ด้วย แม้จะทิ้งตำรามา 2-3 ปีแล้ว ผมกลับไปหาคุณตา แจ้งข่าวดีให้ทราบว่าผมกำลังจะได้ทำงานที่โรงพยาบาลคริสเตียนมโนรมย์ คุณตาดีใจด้วย แต่ก็กำชับว่าห้ามฟังห้ามสนใจเรื่องคริสเตียนเด็ดขาด
ที่จริงผมไปทำงานโรงพยาบาลไม่ใช่เพราะอยากทำ แต่เพียงอยากรู้ว่า "พระเยซูคือใคร" พระเจ้าทรงทราบเรื่องนี้ แม้ไม่ได้บอกใครเลยก็ตาม
เมื่อได้เข้าทำงาน และอีกสองสามสัปดาห์ต่อมาก็สอบเลื่อนขั้นได้อีก ขึ้นเข้าศึกษาในโรงพยาบาล จากนั้นมีประชุมยุวชน ผมอยากลงทะเบียนเข้าร่วมประชุม แต่ไม่มีเงิน เพราะเสียพนันไปหมด จึงอธิษฐานว่า "พระเยซู ผมอยากเข้าร่วมการประชุมนี้ เพราะอยากรู้จักพระองค์ ขอเงินให้ผม 10 บาทเถอะ แค่ 10 บาทเท่านั้นเอง ค่าลงทะเบียน" แล้วผมคอยเฝ้ามองทางหน้าต่างด้วยหวังว่าพระองค์จะโยนเงินเข้ามาให้ทางหน้าต่าง จากวันจันทร์ผ่านไปถึงวันศุกร์ตอนเย็น เย็นนี้แหละจะเริ่มการประชุมแล้ว
บ่ายนั้นเอง พ่อแม่ของผมมาหา บอกว่า "ทำไมลูกไม่เขียนจดหมายถึงพ่อแม่เลย นี่คิดถึงลูกมาก" ท่านก็โยนเงินให้แล้วก็กลับไป
พระเยซูตอบคำอธิษฐานอย่างอัศจรรย์ เพราะการกระทำเช่นนี้มิใช่ปกติวิสัยของพ่อแม่ของผมที่จะมาหาเพียงเพื่อให้เงินไว้ใช้ ธรรมดาท่านจะต้องอยู่พักค้างคืนคุยแล้วคุยอีก
ผมจึงได้เข้าร่วมประชุมในตอนเย็น ครั้งนี้ ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้าจริง เพราะทุกอย่างเหมือนจัดไว้เฉพาะ การประชุมไม่มีเรื่องอื่นใดนอกจากชีวิตของพระเยซู เขาสอนเรื่องพระเยซู ตั้งแต่ก่อนเกิด แล้วเรื่อยไปจนถึงตาย เมื่อเขาพูดถึงพระเยซูแบกไม้กางเขนไปยังแดนประหาร ผมไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ คิดว่าคนที่สมควรตาย คือ ผมเอง ไม่ใช่พระเยซู แต่พระเยซูยอมตายเพื่อบาปของผม เวลานั้นผมไม่คิดถึงใครเลย มันเหมือนผมอยู่คนเดียวในโลก และพระเยซูมาเพื่อตายไถ่บาปแทนโดยเฉพาะ
เมื่อเขาเทศนาจบแล้ว ผมเข้าไปหามิชชันนารีผู้ดูแลคริสตจักรมโนรมย์ และถามว่าผมจะขอให้พระเยซูเป็นพระผุ้ช่วยให้รอดส่วนตัวของผมได้อย่างไร ท่านถามว่าผมรู้สึกอย่างไร ผมตอบว่ารู้สึกตัวว่าเป็นคนบาป และพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่องค์เดียวที่ช่วยผมได้ ท่านจึงนำผมอธิษฐานต้อนรับพระเยซู
วินาทีนั้น ผมได้รับคำตอบซึ่งพยายามค้าหามานาน เมื่อต้อนรับพระเยซูแล้ว ผมพบสันติสุขในใจอย่างแท้จริง วิญญาณชั่วอะไรอื่น ๆ ที่ผมเคยลิ้มลองนั้นไม่สามารถให้สันติสุขนี้แก่ผมได้ พระเยซูเท่านั้นที่ทำได้ ผมดีใจมาก อยากรู้จักพระองค์ยิ่งขึ้นไปอีก ยิ่งอ่านพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นพระวจนะของพระเจ้า ผมก็ร้องไห้ ... ร้องใหญ่เลย เพราะซาบซึ้งในความรักของพระองค์
จากนั้น พระเจ้าส่งคนมาสอนพระคัมภีร์ให้ทุกคืน ช่วยให้ผมเข้าใจอะไร ๆ ดีขึ้น รู้จักฤทธิ์อำนาจความยิ่งใหญ่ของพระเยซูมากขึ้น รู้จักพึ่งพาในพระองค์จริง ๆ
ในที่สุด ผมก็รับศีลบัพติศมา ผมจำคืนที่รับบัพติศมาได้ วิญญาณชั่วโจมตีใหญ่เลย และพยายามจะดึงผมกลับ คืนนั้น ขณะที่ผมกลับบ้าน ผมฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเคยเห็นหลายครั้งแล้วเมื่อตอนที่คุณปู่ยังอยู่ มันจะปรากฎบ่อย ๆ เหมือนเป็นเงา ผมจำลักษณะได้ แต่ไม่มีตัวตน
ผู้หญิงคนนั้นมายืนข้าง ๆ บอกว่า "ฉันต้องเอาเจ้ากลับไป" ผมบอก ไม่ไปด้วย มันก็พูดซ้ำอีก และพยายามดึงขาผม ขาจึงไปติดกับขอบปลายเตียง ผมตกใจตื่น
แปลกมาก แม้เป็นเพียงความฝัน แต่ก็เกิดขึ้นจริง ๆ ตัวผมร่นไปจนเท้าติดปลายเตียงอย่างในฝัน แล้วยังเห็นผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ตรงหน้า ผมบอกกับมันว่า "ฉันไม่ไป เพราะฉันเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว"
พอพูดคำว่า "ลูกของพระเจ้า" มันก็กลัว ผมบอกว่า "ฉันเป็นของพระเยซูคริสต์แล้ว" มันกลัวมาก เมื่อได้ยินคำว่า พระเยซู ผมจังไล่ให้มันไป นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้จักใช้พระนามของพระเยซู แม้จะไม่เคยรุ้มาก่อน มันล้มลงแล้วลุกเดินลงไปชั้นล่าง ผมไปปลุกเพื่อน ชวนเขามาดู เขาก็เห็นผู้หญิงนี้เดินออกจากห้องโถงใหญ่ออกไปข้างนอก พอถึงต้นไม่ใหญ่ก็หายไป
แต่นี่ยังไม่จบบทบาทของมัน มันยังมารบกวนอีกในรูปแบบต่าง ๆ กัน แต่ผมไม่กลัวแล้ว เพราะรู้ว่าชนะแล้ว ยิ่งเผชิญกับผลงานของผีและวิญญาณชั่วมากเท่าไร ผมก็ยิ่งขอบคุณพระเจ้า เพราะได้เห็นฤทธิ์อำนาจของพระองค์ยิ่งใหญ่ขึ้น เมื่อเชื่อพระเจ้า ผมรู้ว่ามีฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าอยู่ภายในที่ยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่อยู่ภายนอก และผมเป็นบุตรของพระองค์ จึงมีสิทธิอำนาจที่จะใช้พระนามของพระองค์เอาชนะฝีวิญญาณชั่ว

แม้ผมจะรู้เคล็ดลับวิธีเอาชนะวิญญาณชั่วแล้วก็ตาม แต่เมื่อแต่งงานแล้วกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แม้วิญญาณชั่วทำร้ายผมไม่ได้ แต่มันพยายามไปทำร้ายภรรยาและลูกแทน นี่เป็นเรื่องใหม่จริง ๆ สำหรับผมซึ่งไม่รู้มาก่อน จึงไม่ได้สนใจ มาเข้าใจเมื่อลูกสาวอายุได้ 3 ขวบ ลูกคนนี้มักจะร้องกรี๊ด ๆ แทบทุกคืนนับตั้งแต่เกิดมา จนไม่สามารถปล่อยไว้ลำพังได้ ต้องคอยเอามือโอบกอดหรือวางไว้บนหลังหรือท้องเพื่อลูกจะรู้สึกว่าพ่อแม่อยู่ด้วย มิฉะนั้นลูกจะนอนไม่หลับ กลัวอะไรบางอย่าง บางครั้งผมก็ตีลูกเพราะคิดว่าลูกเกเร
วันหนึ่ง เราสามคนพ่อแม่ลูกร้องเพลงอธิษฐานกัน ขณะที่สรรเสริญพระเจ้า ลูกสาวก็ร้องไห้ ผมแปลกใจมาก พอสรรเสริญพระเจ้าอีก ลูกก็ร้องไห้อีก และบอกให้หยุดร้องเพลง ไม่อยากได้ยิน ผมจึงรู้ทันทีว่าเรื่องนี้ไม่ปกติแน่ จะต้องมีอะไรรบกวนลูกแน่ ผมอธิษฐานขอพระเจ้าช่วยสำแดงให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พระองค์ก็ตอบและเปิดตาให้ผมเห็นเงาของผู้ที่มารบกวนลูกในรูปแบบต่าง ๆ บางทีก็เป็นเงามืดปกคลุม ผมจึงสั่งในพระนามพระเยซูว่า "ไม่ว่ามันจะเป็นใคร จงไปให้พ้น" มันก็ไป ๆ มา ๆ ผมขอพระเจ้าช่วยให้รู้วิธีกำจัดมัน
ต่อมา ผมได้พบอาจารย์ อาเธอร์ นีล ที่เป็นคนช่วยอธิษฐานขับไล่วิญญาณออกจากราชินีแม่มด ดอรีน ซึ่งมีผีถึง 36 ตัว ออกจากเธอ อีกครั้งได้ไปเยี่ยมเพื่อนที่คาร์ดิฟ ตอนใต้ของประเทศอังกฤษ ทันทีที่ก้าวเข้าไปในบ้าน ผมรู้สึกมีอะไรบางอย่างพยายามผลักผมออกไปนอกบ้าน ผมไม่ได้บอกให้ลูกและภรรยาทราบเพราะเกรงว่าพวกเธอจะตกใจกลัว เพียงแต่บอกภรรยาให้เอาลูกมานอนด้วย แต่ลูกอยากนอนห้องเด็ก ซึ่งมีของเล่นมากมาย ผมก็ยอมตาม โดยคอยระวังฟังเสียงลูก
ราวตีหนึ่งลูกก็กรีดร้อง ผมวิ่งเข้าไปหา ก็เห็นผี 5-6 ตัว ล้อมรอบอยู่ ผมโกรธมาก อยากสู้กับมัน เลยวิ่งเข้าหามัน มันก็วิ่งไล่ ผลักผมล้มลงตัวแข็งทื่อ กระดุกกระเดี้ยไม่ได้ ผมไม่กลัว แม้จะสู้ด้วยแรงตัวเองไม่ไหว แต่ก็รู้วิธีเอาชนะมัน แม้ไม่ได้ออกเสียงเลยก็ตาม ผมพูดในใจว่า "ในพระนามพระเยซูชาวนาซาเร็ธ จงไปให้พ้นเราเดี๋ยวนี้" ผมเห็นพวกมันเหมือนถูกผลักกระเด้งจนล้ม จึงวิ่งเข้าไปจะจับ มันเลยหายตัวไป
วันรุ่งขึ้น เลขานุการของโบสถ์มาเล่าประวัติบ้านนี้ให้ฟัง ผมจึงบอกว่ารู้แล้ว เพราะเมื่อคืนถูกผีรบกวนใหญ่เลย บ้านนี้เคยเป็นที่อยู่ของเด็กติดยา และพวกนี้บูชาซาตานและผีในบ้านด้วย ภายหลังโบสถ์ซื้อบ้านนี้ไว้ และพบเทียนเล่มหนึ่ง ศิษยาภิบาลจึงหยิบเทียบเล่มนั้นปาทิ้งลงทะเลโดยไม่ได้ระมัดระวังตัว ไม่ได้อธิษฐานขอการคุ้มครองจากพระเจ้าเสียก่อน ทันทีที่เทียนหล่นลงน้ำ เขารู้สึกเหมือนลมพายุพัดกระโชกเข้าหาตัว รัดคอเขาไว้ จากนั้นก็ไม่สามารถพูดได้อีก หมอบอกว่าต้องเลิกเป็นนักเทศน์ เพราะคออักเสบ แต่เขาไม่ยอม เขาบอกว่ายังไง ๆ เขาต้องประกาศพระคำพระเจ้า ปัจจุบันเขายังเป็นนักเทศน์อยู่ ซุ่มเสียงดีขึ้นแล้ว เพราะรู้จักวิธีต่อสู้ซาตานดีขึ้น
เลขานุการของโบสถ์แปลกใจมากที่เราถูกผีรบกวนเพราะบ้านนี้ได้อธิษฐานถวายพระเจ้าแล้ว อาจารย์อาเธอร์ นีล ก็ได้อธิษฐานขับไล่แล้วด้วย ผมบอกเธอว่า "ฟังให้ดีนะ สิ่งที่ผมรู้มาอาจไม่เหมือนกับที่คุณเคยรู้ คุณปู่เคยอธิบายว่าที่ไหนก็ตามที่วิญญาณชั่วอยู่ ที่นั่นก็เป็นของมัน และมันเป็นเจ้าของที่นั่น มันจะไม่ยอมไปจนกว่าจะมีผู้มีอำนาจมากกว่ามาบังคับไล่มันออกไป ถ้าคุณขับผีที่อยู่ห้องนี้ออกไป มันจะหนีไปอีกห้องหนึ่งอย่างนี้เรื่อย ๆ ไป เราต้องขับมันออกไปทีละห้องจนครบทุกห้อง ในบ้านสะอาดปลอดโปร่งแล้ว จึงถวายบ้านให้พระเจ้า"
เธอรีบโทรศัพท์เชิญอาจารย์ อาเธอร์ นีล เขาถามว่าผมเห็นอะไรบ้าง ผมจึงอธิบายที่พบเห็น แล้วอาจารย์ อาเธอร์ นีล ก็อธิษฐานขับไล่ เขาบอกว่า "จริงอย่างที่คุณว่า" เนื่องจากเขามีของประทานในการสังเกตวิญญาณ เขาได้เห็นว่ามันหนีออกไปหลบอยู่อีกห้องหนึ่ง เขาสามารถจำแนกความแตกต่างของวิญญาณชั่ว และอธิบายให้ผมฟังว่าวิญญาณชนิดไหนทำหน้าที่อะไร เราร่วมกันอธิษฐานขับไล่ และพาพวกเด็ก ๆ ออกไปจากบ้านเสียก่อน เพราะจำได้ว่าที่สก็อตแลนด์มีการขับไล่วิญญาณชั่ว แต่ทุกคนลืมไปว่ามีเด็กทารกนอนอยู่ในห้อง ผีจึงเข้าไปสิงเด็ก และฆ่าเด็กตาย พวกเด็ก ๆ มักจะไว้ต่อพวกวิญญาณเหล่านี้มาก และถูกโจมตีง่าย เพราะช่วยตัวเองไม่ได้ ผมจึงส่งลูกออกไปอยู่ที่อื่นก่อน แล้วเริ่มอธิษฐานขับไล่ผีกันจนปลอดโปร่งไปทั้งบ้าน จากนั้นถวายบ้านให้พระเจ้า
ก่อนหน้านี้ มีมิชชันนารีหลายคู่ถูกผีทำร้าย มีคู่หนึ่งบอกว่า ภรรยากำลังท้องลูกอยู่ ไม่รู้ถูกใครตบจนล้มลงแท้งลูกไปเลย อาจารย์ อาเธอร์ นีล อธิบายให้ฟังว่า "ถ้าเราถูกวิญญาณชั่วรบกวนบ่อย ๆ เราสามารถส่งมันไปนรกได้ก่อนถึงเวลากำหนด โดยพระนามพระเยซู" ผมดีใจที่ทราบเรื่องนี้ และคิดในใจว่าคราวหน้า ถ้ามันมาอีก จะต้องจัดการให้เด็ดขาด
เวลานั้นผมไปเรียนอยู่ที่ All Nations Bible College ผมอธิษฐานในใจว่า "พระเจ้าข้า ถ้ามีวิญญาณชั่วเข้ามาเมื่อไร ขอโปรดให้ข้าพระองค์ทราบด้วย" ผมไม่เคยเอ่ยความคิดนั้นออกมา ได้แต่คิดในใจเท่านั้น พวกเราควรรู้ว่า วิญญาณชั่วไม่สามารถรู้อะไรที่อยู่ในใจของเราได้ มันรู้เพียงสิ่งที่เราพูด สิ่งที่แสดงออกมาเท่านั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ทุกสิ่งแม้กระทั่งความคิดในใจ
คืนหนึ่ง ลูกสาวของผมสะกิดบอกผมว่า "พ่อ พ่อ นั่นไง มีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าต่าง" ลูกเห็น ผมไม่เห็น ผมจึงอธิษฐานของพระเจ้าทรงสำแดง แล้วก็เห็นเงาผู้ชายยืนอยู่ที่หน้าต่าง ผมจึงวางมืออธิษฐานเผื่อลูกสาว และสั่งผีตัวนั้นในพระนามพระเยซูคริสต์ว่า "นับแต่บัดนี้ไป เจ้าต้องไม่มารวบกวนลูกสาวอีกต่อไป เพราะลูกสาวเป็นของพระเยซู" ผมปลอบลูกสาว ให้เชื่อมั่นและวางใจในพระเจ้า ไม่ต้องกลัวอะไร ขอให้หลับเสีย แต่ลูกก็ไม่หลับ ยังนอนลืมตาจ้องผู้ชายคนนั้นเดินออกไปจากบ้าน ลูกถามผมว่า ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร ผมอธิบายว่า เป็นคนไม่ดี แต่ต่อไปนี้ลูกไม่ต้องกลัว เพราะมันรบกวนลูกอีกไม่ได้ ลูกมีพระเยซูที่มีอำนาจเหนือมัน ลูกจะปลอดภัยจากผี วิญญาณชั่ว นับจากนั้นมา ลูกของผมก็ไม่ถูกรบกวนอีก
ผมสอนลูกว่า ให้จดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไว้ และวันข้างหน้า เมื่อมีลูกมีหลานถูกวิญญาณชั่วรบกวน ก็ให้ทำอย่างเดียวกับที่พ่อทำในวันนี้

อีกอย่างหนึ่งที่ทุกคนควรทราบก็คือ ถ้าคุณไม่อยากถูกวิญญาณชั่วรบกวน ก็อย่าไปพูดถึงมันมาก บางคนชอบยกย่องมารร้ายว่ามันเก่งอย่างโน้นอย่างนี้ รู้อย่างนี้ อย่างโน้น ที่จริงมันไม่ได้เก่งหรือรู้ไปหมดทุกอย่าง อาศัยพวกมากเท่านั้นเอง เราไม่ต้องยกย่องชมเชยความสามารถของมัน ไม่ต้องเอ่ยถึงมัน เราควรอธิษฐานกับพระเจ้าเสมอ สรรเสริญพระเจ้า ยกย่องพระเจ้า พระองค์จะอยู่ด้วยกับเรา ยิ่งเราพูดถึงพระองค์ สรรเสริญพระองค์มากเท่าไร พระวิญญาณของพระเจ้าจะใกล้เรามากขึ้นเท่านั้น ทำให้เราเข้มแข็ง
คนไทยเรามักกลัวผี ที่กลัวก็เพราะชอบพูดถึงผี ยิ่งพูดเราก็จะรู้สึกว่ายิ่งถูกรบกวน ถูกกดดัน ถ้าเราเลิกพูด หันมาพูดเรื่องพระเจ้า วิญญาณชั่วก็จะพ่ายแพ้เรา เพราะมันแพ้พระเจ้า
เมื่อถูกวิญญาณชั่วรบกวน เราไม่ต้องอธิษฐานขอพระเจ้าช่วย แต่เรามีอาวุธที่พระเจ้าให้แล้ว คือ สั่งขับผีได้เลย "ในพระนามพระเยซูคริสต์ ชาวนาซาเร็ธ จงไปให้พ้น"
เมื่อภรรยาของผมทำงานอยู่เวรกลางคืนในโรงพยาบาล คืนหนึ่ง เธอเห็นเงาผู้ชายเคลื่อนเข้าใกล้ โดยมีวัตถุบางอย่างอยู่ในมือ และพยายามจะเอาสิ่งนั้นมาโปะหน้าของเธอ พอเธอเห็นมันเข้าใกล้ เธอตะโกนร้อง "พระเยซูช่วยด้วย" มันก็หายตัวไป สักครู่มันก็ไปหาอีกคนหนึ่ง เขาก็ร้อง "พระเยซูช่วยด้วย" มันก็หายไปอีก แล้วมันก็กลับมาหาภรรยาของผมอีก กลับไปกลับมาอยู่นั่นแหละ หนัก ๆ เข้า เธอนึกขึ้นได้ว่าผมเคยสอนว่าไม่ต้องขอความช่วยเหลือ แต่ให้ใช้สิทธิอำนาจในพระนามพระเยซูคริสต์ เธอทำตาม วิญญาณนั้นก็หายไปจริง ๆ ไม่มารบกวนอีก
วิญญาณชั่วเป็นเหมือนหมา ถ้าเรากลัวมัน มันจะเข้ามากัด ผมเรียนรู้เรื่องนี้จากหมอเฮนรี่ อาจารย์ที่วิทยาลัยพระคริสตธรรมกรุงเทพฯ เราไปประกาศข่าวประเสริฐด้วยกัน เราร้องเรียกให้คนเข้ามาฟังพระคำพระเจ้า มีใครมา มีแต่หมาวิ่งไล่ จนผมต้องวิ่งหนีไปรอบหมอเฮนรี่ ในที่สุดท่านก็ไล่มันไป ท่านบอกว่าผมขาดความเชื่อ ผมถามว่ารู้ได้อย่างไร ท่านบอกว่าไม่ใช่ท่านรู้คนเดียว หมามันก็ยังรู้ ผมจึงได้คิด หมารู้ว่าใครกลัวมัน ท่านบอกว่าถ้าคิดว่ารพะเจ้ายิ่งใหญ่น้อยกว่าละก็ อย่าเชื่อพระองค์เลย ถ้าเชื่อว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่า ค่อยเชื่อ จากนั้นผมไม่เคยกลัวอีกเลย
วิญญาณชั่วเช่นกัน มันรู้ว่าใครกลัวมัน ซาตานเหมือนสิงห์คำราม คอบจับจ้องคนที่มันจะกัดกินได้ มันทำให้คนกลัว ตกใจ หดหู่ แต่อย่าลืมว่าเรามีสิทธิอำนาจเหนือมัน เพราะเราเป็นคนของพระเยซูคริสต์ เราต้องรู้วิธีใช้สิทธิอำนาจนี้
ดอรีน ราชินีแม่มด ที่กลับใจมาเชื่อพระเยซู เล่าให้ฟังว่า ที่เธอกลับใจ เพราะเธอรู้ว่าพระเยซูมีอำนาจเหนือมารซาตาน ตอนก่อนเชื่อพระเจ้า เธอเคยได้ยินคริสเตียนอธิษฐานสรรเสริญพระเจ้า เธอรู้สึกเกลียดชัง ไม่พอใจ และอยากจะทำร้ายพวกนี้ ดังนั้น เวลามีคริสเตียนเดินผ่านบ้าน เธอจะส่งผีทำร้าย แม้กระทั่งเด็กเล็ก ๆ ที่เชื่อพระเจ้า ผีกลับมาหาเธอด้วยความผิดหวัง เพราะมันแตะต้องคริสเตียนไม่ได้เลย แม้ว่าคนที่เชื่อนั้นเป็นเพียงเด็กเล็ก ๆ เธอจึงคิดได้ว่าพระเยซูต้องมีฤทธิ์อำนาจมากกว่าซาตาน เธอจึงหันมาหาพระเยซูคริสต์เพื่อปลดปล่อยเธอจากอำนาจของมารซาตาน เธอจึงหันมาหาพระเยซูคริสต์เพื่อปลดปล่อยเธอจากอำนาจของมารซาตาน ดังนั้น เราที่เป็นลูกของพระเจ้าจึงไม่ต้องกลัวผีมารซาตานอีกแล้ว




ศจ. สมศักดิ์ ชูสงฆ์
จากหนังสือ พระคริสต์พิชิตซาตาน
สำนักพิมพ์ กนกบรรณสาร