ความยำเกรงพระยาห์เวห์เป็นจุดเริ่มต้นของความรู้ คนโง่ย่อมดูหมิ่นปัญญาและการสั่งสอน (สุภาษิต 1:7)
อย่าคิดว่าตนมีปัญญาจงยำเกรงพระยาห์เวห์ และจงหันจากความชั่วร้าย (สุภาษิต 3:5-7)
พระวาทะ (The Word)
พระกิตติคุณยอห์นได้กล่าวถึงพระเยซูคริสต์ ว่าพระองค์ทรงเป็นพระวาทะถึง 4 ครั้ง
คำว่าพระวาทะ (Logos) ใช้ในพันธสัญญาใหม่ 300 กว่าครั้ง หมายถึง "คำ" บางครั้งหมายถึง "พระคำของพระเจ้า" หรือ "พระวจนะ" เช่น 2 เปโตร 3:5 "พระเจ้าทรงสร้างไว้โดยพระวจนะ (โลโกส) ของพระเจ้า" สำหรับคำนี้เบื้องหลังแบบยิวเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ในปฐมกาลบทที่ 1 และอีกหลาย ๆ ตอนของพันธสัญญาเดิม เราเห็นว่าพระวจนะของพระเจ้ามีฤทธิ์เดชที่จะทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จ (ปฐก.1:3,6 / สดุดี 33:6 / อิสยาห์ 55:11) จึงอาจจะเข้าใจได้ว่า พระวจนะนั้นมีบุคลิกภาพ (ให้เปรียบเทียบกับคำว่า "ปัญญา" ใน สุภาษิต 8:1,22-31 ซึ่งมีลักษณะเป็นบุคคลเช่นเดียวกัน)
ในวรรณกรรมของชาวยิวซึ่งอยู่ระหว่างช่วงกลางของพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่มีการใช้คำว่า "พระวจนะ" และ "ปัญญา" ในลักษณะที่เป็นบุคคลมากขึ้น นอกจากนั้นพระธรรมทาร์กุม (Targum) ซึ่งเป็นพันธสัญญาเดิมที่แปลจากภาษาฮีบรูมาเป็นภาษาพูดต่าง ๆ คำว่า "พระคำของพระเจ้า" ได้ถูกใช้หลายครั้งในฐานะชื่อหนึ่งของพระเจ้า
เบื้องหลังแบบกรีกก็สำคัญด้วย เพราะเป็นเรื่องที่ผู้อ่านพระธรรมยอห์นหลายคนได้รู้จักแล้ว ตามความคิดของพวกสโตอิก (Stoic) "โลโกส" เป็นแหล่งกำลังแห่งชีวิต ซึ่งแผ่ซ่านในบรรดาสรรพสิ่ง เป็นหลักธรรมที่ช่วยให้จักรวาลเป็นระเบียบและมีเหตุผล ... ดังนั้น ทั้งพวกยิวและพวกกรีกจะเข้าใจว่า "โลโกส" เป็นการเริ่มต้นของทุกสิ่ง จึงเป็นคำเหมาะสมมากที่ยอห์นใช้สำหรับแนะนำความสำคัญของพระเยซู ... อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังความคิดของกรีกและยิว ไม่ลึกซึ้งเท่าความคิดของยอห์น คือ พระวาทะ เป็นบุคคลที่อยู่ก่อนทุกสิ่ง และมาบังเกิดในโลกนี้ ซึ่งเป็นความคิดใหม่ที่รุนแรงและแปลกมากสำหรับชาวยิวและชาวกรีก