การอดอาหารอธิษฐานตามพระคัมภีร์



การอธิษฐาน

พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นเพื่อสามัคคีธรรมกับพระองค์ในความสัมพันธ์นี้การอธิษฐาน เป็นหนทางหนึ่งที่พระเจ้าใช้เพื่อเป้าหมายนี้ แต่เนื่องจากบาปสัมพันธภาพนี้จึงขาดสะบั้นลงและการอธิษฐานกลายเป็นสิ่งที่ เข้าไม่ถึง และน่าอึดอัดใจสำหรับมนุษย์

ผู้เชื่อพระเจ้าจะแบ่งปันชีวิตของเขากับพระองค์ผ่านทางการอธิษฐานเราสามารถ ระบายความในใจทั้งหมด เปิดอกสารภาพบาปและทูลขอจากพระองค์โดยมั่นใจว่าพระเจ้าจะตอบคำอธิษฐานด้วย สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการอธิษฐานคือ “ การขอบพระคุณ”

ชาวอิสราเอลที่เคร่งครัดในศาสนาจะอธิษฐานวันละสามครั้ง ซามูเอลได้ ตระหนักถึงหน้าที่นี้ถึงขนาดประกาศว่า หากเขาลืมอธิษฐานเผื่อคนที่อยู่ในความรับผิดชอบของเขาก็ถือว่าเขาทำบาป การอธิษฐานไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่การอธิษฐานที่คริสเตียนต้องทำตาม ซึ่งท่านเปาโลก็คาดหวังให้การอธิษฐานเป็นส่วนสำคัญของชีวิตคริสเตียนและคริ สตจักรเพราะเมื่อมนุษย์เราคืนดีกับพระเจ้าแล้ว ความกระหายจะพูดคุยกับพระองค์กลายเป็นธรรมชาติใหม่ของเรา

การอธิษฐาน นับเป็นส่วนสำคัญในครอบครัวของพระเจ้า เพราะพระเยซูได้สอนสาวกให้อธิษฐานว่า “พระบิดาแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย...”  ( มัทธิว 6:9-13 ) คริ สตจักรสมัยแรกๆ มาร่วมชุมนุมเพื่ออธิษฐานด้วยกัน เช่นการประชุมที่บ้านแม่ของมาระโกเพื่ออธิษฐานขอให้เปโตรได้รับการปล่อยตัว พระวิญญาณบริสุทธิ์มีหน้าที่เร่งเร้าให้คริสเตียนอธิษฐาน โน้มน้าวความคิดของคริสเตียนให้สอดคล้องกับน้ำพระทัยพระเจ้า อัครสาวกเปาโลเขียนถึงชาวโรมันว่า “พระวิญญาณทรงช่วยขอแทนเราในเมื่อเราคร่ำครวญอธิษฐานไม่เป็นคำ” ( ดูพระคัมภีร์เทียบ สดด. 62:8; 1 ยน. 1:9; มก. 11:24; ฟป. 4:6; 1 ซมอ. 12:23; คส. 4:2; ยก. 1:5-6; กจ. 12:12; รม. 8:26) พระเยซูสอนถึงการอธิษฐาน : มธ. 6:5-15; 7:7-11; 26:41; มก. 12:38-40; 13:33; 14:38; ลก. 11:1-13; 18:1-14 คำอธิษฐานของพระเยซู : มธ. 6:9-13; 11:25-26; 26:36-44; มก. 14:32-39; ลก. 10:21; 11:2-4; 22:46; 23:34, 46; ยน. 11:41-42; 12:27-28; 17 คำอธิษฐานอันยอดเยี่ยมในพระคัมภีร์ : อพย. 15; 32; 33; ฉธบ. 32-33; ยชว. 10; วนฉ. 5; 6; 1 ซมอ. 1; 2; 2 ซมอ. 7; 22; 1 พกษ. 3; 8; 18; 19; 2 พกษ. 19; อสร. 9; นหม. 1; 9; โยบ. 42; สดด.; ดนล. 2; 9; ยนา. 2; ฮบก. 3; ลก. 1:46-55, 68-79; 2:29-35; กจ. 4:24-30 และคำอธิษฐานในจดหมายฝากต่างๆ


การอดอาหารอธิษฐาน

การอดอาหาร: มาดูเบื้องหลังการอดอาหาร อธิษฐาน  ตามธรรมบัญญัติในพระคัมภีร์เดิม คนยิวมีวันอดอาหารประจำชาติเพียงวันเดียวคือ “วันลบบาป” คือวันที่ ๑๒ เดือน เจ็ด ( ปลายเดือนกันยายน/ ต้นตุลาคม ) สมัยที่อิสราเอลเป็นเชลยในบาบิโลน ชาวยิวยังอดอาหารในเดือน ห้า และ เดือนที่ เจ็ด เพื่อไว้ทุกข์ให้ เกดาลิยาห์ ผู้ว่าราชการยูดาห์ ที่ถูกลอบ ฆ่า และการที่พระวิหารถูกทำลาย

 หลัง สมัยเป็นเชลยชาวยิวได้เพิ่มวันถืออดอาหารอีก สองวัน คือในเดือนที่ สิบ เพื่อระลึก ถึงการที่บาบิโลนเริ่มโอบล้อม เยซูซาเล็ม และในเดือนที่สี เยซูซาเล็มแตก  ทั้งประเทศและส่วนบุคคลอาจถืออดอาหารในวาระคับขันอื่นๆด้วย

 การ อธิษฐานและการอดอาหารมักจะควบคู่กันไป มักจะมีคำถามว่าทำไมต้องอดอาหารอธิษฐานการอดอาหารเป็นสัญลักษณ์ ถึงการกลับใจอย่างแท้จริง  ใน ช่วงที่อดอาหารจะไม่กิน ไม่ดื่ม อาจจะฉีกเสื้อผ้าและสวมชุดกระสอบ เอาขี้เถ้าซัดลงบนศีรษะ ปล่อยผมรุงรัง กระเซอะกระเซิง และไม่อาบน้ำ

ที่สำคัญ ผู้เผยพระวจนะ และพระเยซูเจ้า ได้พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สัญลักษณ์ภายนอกนั้นไม่เพียงพอ เพราะสิ่งที่สำคัญอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจ ( ดูข้อพระคัมภีร์เทียบ :ลนต.๑๖.๒๙,ศคย.๗.๕,๘.๑๙,วนฉ.๒๐.๒๖, นหม.๑,๒ ซมอ.๑๒.๑๖,๒๐, อสธ.๔.๑๖,อสย.๕๘.๓-๕, ยอล.๒.๑๓, ยนา ๓.๕, มธ.๖.๑๖-๑๗ )

การอดอาหาร ที่คริสต์โปรเตสแตนต์ส่วนใหญ่ปฏิบัติ: การอดอาหารอธิษฐาน ยังเป็นเรื่องหนึ่งที่คริสตชนเข้าใจ และไม่เข้าใจ ต่อมาก็ขึ้นกับคณะนิกายแยกย่อยออกไปอีก แท้จริงแล้ว การอดอาหารเป็นศาสนปฏิบัติที่กล่าวถึงเสมอๆในพระคัมภีร์ เมื่อศึกษาพระคัมภีร์ในพันธสัญญาเดิมจะเห็นภาพที่คนยิวอดอาหารสม่ำเสมอ ต่อมาจะเห็นภาพของ การอดอาหารในรูปแบบต่างๆ และในโอกาสต่างๆ เช่น เพราะสำนึกผิด เพราะพ้นจากภยันตราย ในพระคัมภีร์ผู้วินิจฉัย ซามูเอลเรียก ร้องให้ประชาชนร่วมถืออดอาหาร ( 1ซามูเอล 7.6 ) ต่อมาก็พบการอดอาหารโดยความสมัครใจ เช่นกษัตริย์ดาวิดถืออดอาหารเมื่อพระโอรสทรงประชวร ( 2 ซามูเอล 12.16 )เป็นต้น

การถืออดอาหารหาไม่ได้ทำให้เกิดความชอบธรรมมากขึ้น แต่เป็นการฝึกฝนฝ่ายจิตวิญญาณและเป็นการอุทิศตัว และใจ เพื่ออธิษฐานต่อพระเจ้าสำหรับเรื่องต่างๆ โดยไม่ให้การกินการดื่มมาเป็นอุปสรรค แต่คาดหวังจะเป็นการได้รับคำตอบ และเข้าใจน้ำพระทัยพระเจ้า ซึ่งต่อไปนี้จะมาดูกันในพระคัมภีร์ กล่าวถึงการอดอาหารเพื่ออธิษฐานอย่างไร โดยเนื้อหาทั้งหมดจะเป็นมุมมองของคริสตจักรโปรเตสแตนต์สายหลัก

คริสต ชนทุกคนมีสิทธิพิเศษในการประกาศพระคำของพระเจ้าว่า"ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับ พระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า" (กท. 2:20) นี่เป็นคำกล่าวของคริสเตียนที่ติดสนิทอยู่กับพระคริสต์ แต่ว่าในฝ่ายเนื้อหนังนั้นเรายังมีศัตรูที่สำคัญอยู่สาม ตัว คือ

1.เนื้อหนัง
2.เรื่องทางฝ่ายโลก
3.มารซาตาน

พระเยซูเจ้าทรงได้ชนะศัตรูทั้งสามตัวนี้บนไม้กางเขนแทนบรรดาผู้เชื่อทุกคนแล้ว

การอด อาหารอธิษฐานเป็นการเพิ่มความเชื่อให้คริสเตียน เพราะเราก็สามารถชนะสิ่งเหล่านี้ได้โดย ความเชื่อด้วยวิธีการอธิษฐานถืออดอาหาร การถืออดอาหารเป็นวิธีการที่พระเยซูทรงสอนไว้ให้เราปฏิบัติตาม พระกิตติคุณมัทธิว 17:21 พระเยซูไม่ได้อ้อนวอนให้เราอดอาหาร เมื่อพระองค์สั่งให้เราอดอาหาร พระเยซูไม่ได้ตรัสว่า “ถ้า”ท่านอดอาหาร พระองค์ตรัสว่า “เมื่อ”ท่านอดอาหาร และพระองค์ทรงสอนให้เราปฏิบัติฝึกฝนฝ่ายจิตวิญญาณจำเป็นในการวางระเบียบ ชีวิตคริสเตียนทุกคนไว้ ๓ ประการดังนี้

1.การให้ทาน
2.การอธิษฐาน
3.การถืออดอาหาร

ทั้งสามประการที่กล่าวมาพระเยซูสอนว่าอาจจะถูกใช้อย่างถูกๆผิดๆ กล่าวคือ

การ ให้ทาน ไม่ควรถูกชักจูงโดยคนใดคนหนึ่งแต่ให้ด้วยความเต็มใจ  การอธิษฐานอดอาหารก็เช่นกัน ไม่ควรจะถูกชักจูงโดยผู้หนึ่งผู้ใดหรือเพื่อผู้หนึ่งผู้ใดแต่ควรเป็นการ กระทำเพื่อถวายพระเจ้าจากใจที่เต็มไปด้วยความรัก และด้วยใจที่ขอบพระคุณการถืออดอาหารอธิษฐานมีสอนมากมายในพระคัมภีร์ เพื่อให้ชีวิตของคริสตชนเกิดความสมดุล

พระเจ้าไม่จำเป็นต้องได้รับ การถวายจากเราแต่เราต่างหากที่ต้องถวายแด่พระองค์ ดังนั้น แรงจูงใจในการถืออดอาหารจะต้องเป็นหัวใจที่เต็มด้วยความรัก พลังอำนาจไม่ได้อยู่ที่การอธิษฐาน การให้ทานในการถืออดอาหาร แต่พลังอำนาจที่พระเยซูคริสต์

ให้เราศึกษาเรื่องการถืออดอาหาร ในพระธรรมอิสยาห์บทที่ 58 เมื่อเราอดอาหารอย่างเอาจริงเอาจังแล้วเราสามารถออกจากสิ่งเหล่านี้

1.แก้พันธนะของความอธรรม
2.แก้สายรัดแอกแห่งภาระหนัก
3.ได้รับการปล่อยให้เป็นอิสระจากการถูกบีบบังคับ
4.หักแอกเสียทุกอัน

หาก ถามว่า "ทุกวันนี้คริสตชนยังต้องอธิษฐานอดอาหารหรือไม่?" คำตอบคือ "จำเป็นมาก"... เพราะเป็นการฝึกฝนฝ่ายจิตวิญญาณ เพื่อของประทานจะได้เข้าสู่เรา เราไม่ควรมีคำมากมายกับการถืออดอาหารอธิษฐาน แต่พระเยซูสอนว่า "เมื่อท่านทำทาน เมื่อท่านอดอาหารอธิษฐาน จงทำอย่างถูกต้อง แล้วความรักการเชื่อฟังจะตามมา"


1. การถืออดอาหารในพระคัมภีร์เดิม

1.1.”โมเสส” ในพระคัมภีร์เฉลยธรรมบัญญัติบทที่ ๙ เป็นตัวอย่างที่สำคัญในการถืออดอาหาร เป็นเรื่องการอดอาหารอธิษฐานสี่สิบวันของโมเสสที่ภูเขาซีนายกับพระเจ้าท่าน ได้รับแผ่นศิลาพันธสัญญาสองแผ่นหลังจากถืออดอาหาร  เมื่อ ท่านลงมาจากภูเขาพร้อมกับแผ่นศิลาพันธสัญญาซึ่งรับมาจากพระเจ้า ท่านก็พบว่าชาวอิสราเอลได้ทำบาป โดยหันไปกราบไหว้บูชาวัวทองคำ ท่านจึงทำลายรูปเคารพนั้น และท่านเป็นตัวแทนทูลขอพระเจ้าให้ไว้ชีวิตต่อคนอิสราเอลผู้ได้ทำบาปเพราะพระ เจ้าตรัสว่าจะทำลายพวกเขา ตรงกันข้ามโมเสสได้รับบัญชาชัดเจนว่าไม่ให้ขอการอภัยโทษในคำพิพากษาที่ พระองค์จะทรงทำลายพวกเขา พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “ขออย่าท้วงเรา” นี่คือการยืนยันการตอบคำอธิษฐานของโมเสส ผู้ที่ยอมอดอาหารถึงสี่สิบวัน แต่ในที่สุดพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของเขา   คือพระเจ้าให้ชาวอิสราเอลฟังเสียงโมเสสก็จะให้พ้นจากการลงโทษ ที่พระเจ้าทรงฟังเพราะโมเสสอธิษฐานอย่างเอาจริงเอาจังกับพระองค์ สำหรับชาวคริสต์เราควรจะปฏิบัติในการอธิษฐานเหมือนโมเสส แต่คริสเตียนจำนวนมากได้ละเลยในการอธิษฐานเพราะไม่เห็นความสำคัญ หรือไม่วางใจพระเจ้า หรือขี้เกียจ ฯลฯ

1.2. “เอสรา”ใน พระธรรมเอสราบทที่ 8 เราจะเห็นตัวอย่างที่คนของพระเจ้าในสมัยพระคัมภีร์เดิม ได้เห็นถึงความสำคัญในการถืออดอาหาร และได้ผลมากในการทูลขอให้พระเจ้าเทฤทธิ์อำนาจจากพระองค์ “เอสรา”คือ ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกให้นำชนชาติอิสราเอลเดินทางกลับจากการเป็นเชลยที่บาบิ โลนไปสู่บ้านเกิดในกรุงเยรูซาเล็มจากการเป็นทาสพวกเขาได้รับทรัพย์สมบัติมาก มายจากพระราชาแห่งบาร์บิโลนเพื่อนำไปสร้างกรุงเยรูซาเล็มใหม่ในระหว่างทาง นั้นมีโจรมากมายแต่ชนชาติอิสราเอลไม่มีอาวุธพวกเขาได้ใช้วิธีเดียวกันที่เคย เห็นบรรพบุรุษกระทำคือ พวกเขาได้รวมกันอธิษฐานถืออดอาหารอย่างเอาจริงเอาจังกับพระเจ้า และเดินทางกลับมาด้วยความปลอดภัยเพราะพระเจ้าทรงพอพระทัยและทรงปกป้องพวกเขา

1.3. “ เนหะมีย์” ในพระธรรมเนหะมีย์บทที่ 1 เราจะเห็นถึงคนของพระเจ้าที่ได้อธิษฐานอดอาหารเพื่อการซ่อมแซมกำแพงเมือง หลวงของอิสราเอล  เนหะมีย์ ทำหน้าที่เป็นพนักงานเชิญถ้วยเสวยของพระราชา ผลของการอดอาหารอธิษฐาน พระเจ้าทรงเคลื่อนไหวพระทัยของพระราชา พระราชาทรงอนุญาติให้เนหะมีย์เป็นหัวหน้ากลับไปซ่อมแซมกำแพงเมืองใหม่ นี่ก็คือการทรงตอบคำอธิษฐานของพระเจ้า

1.4. “เอสเธอร์”ใน พระคัมภีร์เอสเธอร์เมื่อชนชาติอิสราเอลกำลังจะถูกพระราชกฤษฎีกาทำลายล้างชาว ยิวซึ่งเป็นแผนการชั่วของฮามานจอมโฉดผู้เกลียดชังคนยิวเพ็ดทูลพระราชาให้ ทำลายล้างชาวยิวทั่วพระราชอาณาจักรแต่พระราชินีเอสเธอร์เชื้อสายยิวได้บอก กับชาวอิสราเอลให้พวกเขาอดอาหารอธิษฐานสามวันสามคืนแม้กระทั่งพระนางเองก็ ทรงทำเช่นนั้นเพื่อที่พระนางจะเข้าไปเข้าเฝ้าพระราชาและกล่าวถึงเรื่องนี้ ด้วยคำอธิษฐานของชาวอิสราเอลและทูลของพระราชินีเอสเธอร์พระเจ้าทรงสัมผัส พระทัยพระราชาให้โปรดปรานคำทูลของพระมเหสีของพระองค์ ในที่สุดเหตุการณ์ร้ายกลับกลายเป็นดี ชาวยิวได้รอดพ้นจากการถูกทำลาย แต่คนชั่วผู้ที่วางแผนนั้นกลับได้รับโทษแทน

1.5. “โยเอล” ในพระธรรมโยเอล ผู้เผยพระวจนะ ได้กล่าวว่าเมื่อเป็นเวลาแห่งความท้อแท้สิ้นหวัง พระเจ้าทรงเตือนประชากรให้แสวงหาความช่วยเหลือจากพระองค์ ให้ชนชาติอิสราเอล กลับมาหาพระเจ้า ด้วยการอดอาหารอธิษฐาน ด้วยการโอดครวญ ร้องไห้ และฉีกใจ ซึ่งพระเจ้ากอปรด้วยพระคุณทรงพระกรุณา ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง จะได้ช่วยเหลือพวกเขา

1.6. “โยนาห์” ในสมัยของโยนาห์ เป็นผู้เผยพระวจนะ ท่านได้กล่าวโทษชาวนีนะเวห์ และชาวเมืองนั้นต่างพากันตกใจกลัวการลงโทษของพระเจ้าตามที่โยนาห์บอกดังนั้น พวกเขาไม่มีทางอื่นใดนอกจากการอดอาหารอธิษฐานเท่านั้น แล้วพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของพวกเขาโดยไว้ชีวิตชาวนครนีนะเวห์ทั้งหมด


2.การถืออดอาหารในพันธสัญญาใหม่

ใน พันธสัญญาใหม่ได้ยืนยันถึงความสำคัญของการถืออดอาหารในชีวิตของพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงเริ่มต้นพระราชกิจ ด้วยการอดพระกระยาหารเป็นเวลา40วันในถิ่นทุรกันดารและทรงได้รับการทดลอง 3 ประการก็เกิดขึ้นกับพระองค์ แต่พระเยซูทรงชนะการทดลองทั้งหมด คือ ชนะฝ่ายเนื้อหนัง  ฝ่ายโลก และ ฝ่ายมาร

ยังมีคริสเตียนจำนวนมากที่ มีชีวิตทุกข์ใจนานนับสัปดาห์ เดือน หรือเป็นปีๆ ความกดดันฝ่ายวิญญาณบางครั้งก็มาจากวิญญาณชั่ว พระเยซูเจ้าตรัสว่าการปลดปล่อยจากวิญญาณชั่วบางจำพวกจะต้องใช้วิธีอดอาหาร เท่านั้น เช่น "แต่ผีชนิดนี้ไม่เคยถูกขับออก เว้นไว้โดยการอดอาหารอธิษฐาน"มัทธิว17:21 แสดงว่าการถูกปลดปล่อยจากวิญญาณชั่วก็ต้องด้วยวิธีการอดอาหารอธิษฐาน

แต่ ก็มีคริสเตียนจำนวนมากไม่เชื่อฟังพระเยซูคริสต์เรื่องการอดอาหารและอธิษฐาน เพื่อทำลายอำนาจที่กดขี่ อาจจะเคยได้ยินบางคนกล่าวว่า “ฉันจะอดอาหารเมื่อพระเจ้าทรงนำ”

การถืออดอาหารอธิษฐานเป็นทางที่นำ ไปถึงพระเจ้าในคริสตจักรยุคแรกได้กำหนดเวลา การอดอาหารเพื่อคริสตจักร ในพระธรรมกิจการ 13:2 ขณะที่พวกเขากำลังอดอาหารอธิษฐานและนมัสการอยู่นั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้ สถิตเข้ามา และพูดกับพวกเขา

ในช่วงสองศตวรรษแรกนั้น คริสเตียนส่วนมากถืออดอาหารอาทิตย์ละ 2 วัน คือ วันอังคารและวันศุกร์สำหรับคริสเตียนปัจจุบันนี้ชีวิตในพระกายของพระคริสต์ จะอยู่ที่ไหนมีบางคนเห็นว่าถ้าเราได้กำหนดอธิษฐานอดอาหารสัปดาห์ละ 2 วัน ทั่วโลกน่าจะช่วยเหลือผู้เดือดร้อนช่วยดับไฟสงครามทั้งภายในภายนอกนำ สันติภาพให้เป็นไปได้ และนำคนแสวงหากลับมาหาพระเจ้าเป็นต้น


3. การถืออดอาหารอธิษฐานคืออะไร?

การ ถืออดอาหารเป็นการละเว้นความต้องการบางอย่าง (หรือทั้งหมดตามที่พระคัมภีร์ ได้กล่าวไว้) ในชีวิตประจำวันของเราคือฝ่ายเนื้อหนังเพื่ออุทิศเวลาของเราถวายแด่พระเจ้า เพื่อความเจริญเติบโตในด้านชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ และเตรียมประสาทสัมผัสฝ่ายจิตวิญญาณของเราให้พร้อมที่จะรับการต่อสู้ฝ่ายจิต วิญญาณ โดยการละเว้นสิ่งเหล่านี้

1.อาหาร (ลูกา 4:2)
2.อาหารและน้ำ (เอสเธอร์)
3.อาหารและเพศสัมพันธ์ (1 โครินธ์ 7:5)

การ ถืออดอาหารในพระคัมภีร์หมายถึงการงดอาหารทุกอย่างส่วนน้ำไม่ใช่อาหารและถ้า ไม่เจาะจงว่าจะไม่ดื่มน้ำด้วยก็จะดื่มน้ำได้ตามปกติ สำหรับ คริสเตียนไม่ถือว่าน้ำคือสิ่งต้องห้ามในเวลาที่อดอาหารอธิษฐาน ควรจะดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ แต่ถ้าหากรับประทานอาหารเสริมถือว่าเป็นการยุติการถืออดอาหารอธิษฐาน และไม่ควรใช้สารกระตุ้น เช่น ชา กาแฟ หมากฝรั่ง และอื่นๆ


4. เหตุผล 10 ประการ ของการถืออดอาหาร

มา ทำความเข้าใจว่า การถืออดอาหาร อธิษฐานคืออะไร จาก ๑๐ ประการต่อไปนี้น่าจะทำให้คริสตชนเข้าใจ และเมื่อตัวเองอดอาหารอธิษฐานก็สามารถเข้าใจอย่างถูกต้อง

4.1.เพื่อเป็นการนมัสการพระเจ้า (กิจการ 1:2,3)

4.2.เพื่อเพิ่มความเชื่อของผู้อดอาหาร(มัทธิว 17:19-21)

4.3.เพื่ออุทิศตัวของผู้อดอาหารในการอธิษฐาน (1 โครินธ์ 7:5)

4.4.เพื่อ ดำเนินในพระวิญญาณ (โรม บทที่ 8 ) พระคัมภีร์ได้กล่าวว่าเนื้อหนังกับวิญญาณมีความขัดแย้งกันเพราะถ้าไม่ได้ถือ อด อาหารนานถึงสองสามสัปดาห์ เราจะไม่มีทางรู้เลยว่าธรรมชาติของตัวเก่าของเราควรจะถูกฆ่าวันละกี่ครั้ง ช่วงการถืออดอาหาร เป็นช่วงที่ร่างกายอ่อนแอ ความบาปที่ซ่อนเร้นแอบแฝงอยู่ และความต้องการของเนื้อหนังก็จะแสดงออกมาให้เห็น "เหตุฉะนั้นจงประหารโลกียวิสัยในตัวท่านเสีย มีการล่วงประเวณี การโสโครก ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว และความโลภ ซึ่งเป็นการนับถือรูปเคารพ" (  โคโลสี 3:5 )

4.5.เพื่อทำให้เกิดความเชื่ออย่างสุดจิตสุดใจ (มาระโก 11:23,24) เป็นความเชื่อมั่นในพระคำและพระสัญญาของพระเยซูคริสต์ คริสเตียนส่วนใหญ่เชื่อด้วยสมอง แต่การเชื่อมั่นอย่างสุดจิตสุดใจจะก่อให้เกิดการอัศจรรย์ ( มาระโก ๑๑.๒๓-๒๔ ) "และมิได้สงสัยในใจ แต่เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่สั่งนั้นก็จะเป็นตามนั้นจริง"

4.6.เพื่อมี ความเชื่อมั่นในการอธิษฐานให้คนเจ็บป่วย (มัทธิว 17:20)  เพื่อวางมือรักษาโรคให้คนป่วย ปลดปล่อยคน จากการครอบงำของวิญญาณชั่ว หรือแม้แต่คนเจ็บป่วยเพราะพระเจ้าทรงฟังผู้ชอบธรรมอธิษฐาน  "ถ้าท่านมีความเชื่อ ท่านก็สามารถทำได้ทุกสิ่ง"

4.7.เพื่อให้ความ มั่นใจที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงใช้ (มาระโก 1:17) "จงตามเรามาเถิด และเราจะตั้งให้ท่านเป็นผู้หาคน ดังหาปลา"  และเราต้องใช้ความพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อการนี้แผ่นดินสวรรค์ก็เป็นสิ่ง ที่คนได้แสวงหาด้วยความร้อนรน ก็ชิงเอามาได้" มัทธิว 11:12

4.8.เพื่อ ให้ความเชื่อของผู้อดอาหารเต็มล้นไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (1โครินธ์ 12:11)ดังนั้นพระวิญญาณบริสุทธ์จะอยู่ในผู้นั้น และสำแดงออกมา การปรากฏของพระวิญญาณบริสุทธ์ในท่ามกลางผู้อดอาหาร กล่าวไว้ใน ๑ โครินธ์ บทที่ ๑๒ คือของประทานฝ่ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ ๙ ประการ มีคนจำนวนมากถืออดอาหารและอธิษฐานเพื่อขอให้ได้รับของประทาน  ของ ประทานฝ่ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ผ่านผู้เชื่อ เพื่อพระสิริขององค์พระเยซู (ยอห์น ๑๖.๔ )"การถืออดอาหารอธิษฐาน เป็นการเปิดประตูให้หมายสำคัญเข้ามาสู่ชีวิตของเราอย่างมากมาย     1 โครินธ์ 14:12" และ "การถืออดอาหารอธิษฐานจะช่วยให้ท่านได้รับของประทานอย่างรุ่งเรือง ( 2 ทิโมธี 1:6)

4.9.การอธิษฐานถืออดอาหารเป็นเกราะกำบังที่มีฤทธิ์อำนาจ มากที่สุด (โคโลสี 2:15) "ฤทธิ์ อำนาจที่ท่านมีเหนือโรคร้าย ผีมาร วิญญาณชั่วเหนือเทพผู้ครองและศักดิเทพ ซึ่งพระเยซูทรงมอบให้ท่านผ่านชัยชนะของพระองค์ในนามของท่านบนไม้กางเขน"

4.10.การ ถืออดอาหารอธิษฐานจะทำให้ผู้ถืออดอาหารมีความเชื่อมั่นในสิ่งที่เขาจะได้รับ พระพรของเขาเอง(อิสยาห์58:8-14)พระคำเหล่านี้พระเจ้าทรงประทานให้แก่เขาอัน เป็นผลมาจากการที่ถืออดอาหารตามแบบอย่างในพระคัมภีร์ ที่พระองค์มีพระสัญญาว่าเขาจะได้รับสิ่งนั้นคือ
                                1) ฟื้นฟูจิตวิญญาณ
                                2) ฤทธิ์อำนาจใหม่ ในการมีจิตใจที่มีสมาธิ
                                3) สุขภาพที่ได้รับการฟื้นฟูใหม่ของผู้อดอาหาร


5. ควรจะถืออดอาหารนานเท่าใด

เป็น ความรับผิดชอบของแต่ละคนในการอดอาหารอธิษฐานกับพระเจ้า และขอรับการทรงนำในระหว่างที่ทำการอธิษฐานถ้าหากเราตัดสินใจจะอดอาหาร อธิษฐาน 1มื้อก็ขอให้เราทำด้วยความพอใจและถวายเกียรติแด่พระเจ้า และไม่รับประทานอะไรเลย (นอกจากดื่มน้ำสะอาด) หรือ 24 ชั่วโมง หรือว่า 72 ชั่วโมงก็ตาม เวลานานไม่ใช่เป็นมาตรฐาน แต่ความสัตย์ซื่อคือมาตรฐานในการที่พระเจ้าทรงพอพระทัย
เราต้องอธิษฐานจน กว่าวิญญาณชั่วจะออกจากเราจนหมด และบางคนก็อดอาหารเป็นเวลา 40 วันติดต่อกัน จนวิญญาณชั่ว ความท้อแท้ ความเจ็บป่วย และความทุกข์ออกไปหมดเลยจากชีวิตของเขา หรือจนหลุดพ้นจากความบาป ความเจ็บป่วย หรือความทุกข์ใจ....ขอพระเจ้าทรงเพิ่มภาระใจให้แก่เรามากพอ ที่จะมีภาระใจต่อผู้ที่หลงหาย หลงทาง หรือต้องการความช่วยเหลือจนเราพร้อมจะแบกภาระในการถืออดอาหารอธิษฐานเผื่อคน ที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยไม่มีเงื่อนไขอันใด นอกจาก เพราะความรักของพระคริสต์ที่สวมทับในชีวิตของเรา


6. จะเริ่มการถืออดอาหารอย่างไร?

การ ถืออดอาหารระยะสั้นประมาณวันหรือสองวัน ไม่ต้องเตรียมอะไรเป็นพิเศษ แต่ควรจะทำเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าเสมอ แต่ ถ้าหากอดอาหารนานๆ เช่น สี่วันขึ้นไป หรือ 3 อาทิตย์ หรือมากกว่านั้น เราควรต้องเตรียมสถานที่ที่สงบอยู่คนเดียวได้ เพื่อพักผ่อน และอุทิศตัวของท่านในการอธิษฐาน และอ่านพระวจนะของพระเจ้า  ไม่มีสิ่งอื่นรบกวนมอบชีวิตของเราต่อพระเจ้าอย่างจริงจัง   การเตรียมตัวเพื่ออดอาหารอาจทำได้ดังนี้

                6.1.ไม่ควรทำงานหนักก่อนที่จะอด หรือทำงานในระหว่างอดอาหารอยู่
                6.2.ควรเลือกสถานที่ที่สงบ
                6.3.ก่อนจะเริ่มต้นอดอาหารนาน ควรจะรับประทานผักสด ผลไม้สด และควรดื่มน้ำสะอาดๆ
                6.4.อาบน้ำอุ่นอย่างน้อยทุกๆ สองวัน

ใน ระหว่างอดอาหารอธิษฐานนั้นปากของเราจะมีกลิ่นเหม็น เพราะร่างกายขับของเสียออกมาจากร่างกายที่หมักอยู่เป็นแรมปี แต่เมื่อเสร็จแล้วเราจะได้รับผลประโยชน์ก็คือ มีร่างกายที่สดชื่น ควบคู่กับชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง ในวันแรกๆท่านจะรู้สึกหิวมาก หลังจากนั้น สามวัน ความหิวทั้งหลายจะหายหมด จึงทำให้เป้าหมายการถืออดอาหารอธิษฐานบรรลุผล


7. ควรจะทำอย่างไรในช่วงอดอาหารอธิษฐาน

เพื่อให้การถืออดอาหารอธิษฐานได้ผลสูงสุด เราควรจะปฏิบัติตาม 3 แบบ ดังนี้

                7.1. อธิษฐานอย่างเอาจริงเอาจังตามที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์อิสยาห์บทที่ 58
                7.2. ค้นหาความต้องการภายในจิตใจของท่านเอง
                7.3. อ่านและใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า

                ในการอดอาหารอธิษฐานอยู่นั้น ท่านไม่ต้องทำงาน แต่ตื่นเช้า อาบน้ำ แต่งตัวตามปกติ และเริ่มอธิษฐานจนเข้านอน อาจมีอาการอาเจียน ปวดหัว คลื่นไส้ แต่นั่นหมายถึงร่างกายของท่านกำลังขับของเสียออกมา และสมองของท่านจะปลอดโปร่ง และจำพระวจนะของพระเจ้าได้ดีกว่าเดิม
                ในขณะที่ท่านทำการอดอาหารอธิษฐานอยู่นั้นควรดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว และเมื่อมีอาการอาเจียนมากๆ และไม่สามารถรับน้ำได้แล้วก็ควรจะเลิกอดอาหารอธิษฐานในครั้งนั้นก่อน
                ในคริสตจักรหรือในกลุ่มอธิษฐานของท่านควรจะมี 1 หรือ 2 คนที่จะอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ ใน 1 อาทิตย์ หรือสลับกันหลายๆ คน การอธิษฐานอดอาหารเป็นการ “ปราบเจ้ายักษ์ใหญ่ แห่งความไม่เชื่อในชีวิตของเรา”

                การอธิษฐานถืออดอาหาร ( Fasting-prayer ) เมื่อท่านมีความปรารถนาในบางสิ่งบางอย่างมากจนทำให้กินไม่ลง และความปรารถนานั้นกลายเป็นเสียงคร่ำครวญจากหัวใจ ผนวกกับการอธิษฐานที่ไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ กลายเป็นเสียงคร่ำครวญจากหัวใจ อย่างต่อเนื่องที่จะได้สามัคคีธรรมกับพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นผู้เดียวที่มีอำนาจในการทำลายโซ่ตรวนทุกประการช่วยให้เรื่องที่เรา นำไปอธิษฐานได้รับการแก้ไขเราสามารถเห็นพลังและฤทธิ์เดชนี้ผ่านการอธิษฐาน ซึ่งพระเจ้าทรงทำการอัศจรรย์ได้อย่างมากมาย  ...ถ้า คริสตจักรใดสมาชิก ถืออดอาหารอธิษฐานบ่อยๆ หรืออาจจะเป็นลูกโซ่ คริสตจักรนั้น ก็มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี แทนที่การแห้งเหี่ยว เฉา เพราะพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานและความปรารถนาที่สมาชิกทูลขอเสมอ- ขอให้วางใจ


8. ปฏิกิริยาของร่างกายเมื่ออดอาหาร

หลาย คนมีความแตกต่างกันหลายคนมีโรคบางอย่างซ่อนอยู่ในร่างกายซึ่งจะเริ่มถูกชำระ ล้างโดยการอดอาหาร ปฏิกริยาที่เกิดขึ้นจากการอดอาหารจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน ยิ่งรายใดมีความรู้สึกทรมานมากเท่าใดในเวลาถืออดอาหาร เขาควรจะยิ่งต้องถืออดอาหารมากขึ้นเท่านั้นบางคนมีปัญหาในเรื่องกระเพาะ อาหาร บางคนก็มีโรคกระเพาะอยู่แล้ว และเมื่อกระเพาะไม่ได้ย่อยอาหารนานเข้าก็จะเกิดอาการปวด และรู้สึกทรมาน ถ้าหากว่าบางคนที่ต้องพึ่งสารนิโคติน หรือคาเฟอีนมาเป็นเวลาแรมปี อาจเกิดอาหารปวดศีรษะอย่างรุนแรง และมีอาการคลื่นเหียนอาเจียนในช่วงวันสองวันแรกแล้วปัญหานี้จะสิ้นสุดลง และถ้าท่านอดอาหารเป็นเวลา 21 หรือ 40 วัน ขอให้เราทำเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า และเราควรรักษาความอบอุ่นร่างกายของเราไว้ บางคืนเราอาจนอนไม่หลับทั้งนี้เพราะน้ำหนักตัวลดลงและโลหิตมากเกินไปในร่าง กาย โลหิตที่เกินอยู่ในสมองอาจจะทำให้นอนไม่หลับอยู่ ๒-๓ คืน ดังนั้น จึงเป็นโอกาสดีที่เราสรรเสริญพระเจ้าในเวลานั้น ด้วยการร้องเพลงสรรเสริญ อธิษฐานเพื่อติดสนิทกับพระองค์


9. การออกจากการอดอาหารอธิษฐาน

                การรักษาเวลา คือเป็นการรักษาพระสัญญากับพระเจ้าให้นานและดีที่สุด ซึ่งบางครั้งความหวนกลับคืนมาสู่เนื้อหนัง เวลานั้นร่างกายของเราได้ขับของเสียออกมาหมดแล้ว ให้เราสังเกตว่าพระเยซูอดพระกระยาหาร และเมื่อพ้นวันกำหนดคือ 40วันแล้ว การทดลองก็มาถึงพระองค์ 3 ประการ เพราะมารซาตานรู้ว่าเวลานั้นเป็นเวลาแห่งความตาย เพราะว่าพระองค์ทรงหิวแล้ว มารคิดว่าพระเยซูจะยอมทำตามความชั่วช้าของมันเพื่อพระองค์จะทรงเสวยอาหารที่ มันเชื้อเชิญ ความหิวนั้นอยู่ที่ปาก และลำคอ แต่อย่างไรก็ตามขอให้เรายึดมั่นอยู่ในความเชื่อมั่นในพระเจ้า

                ถ้าเป็นการอดอาหาร 2-3 วัน ควรออกจากการอดอาหารด้วยการรับประทานน้ำดื่มที่ผสมด้วยน้ำส้มคั้นครึ่งแก้ว และหลังจากนั้น 2 วันก็รับประทานผักสด หรือผลไม้สด แต่ไม่ควรรับประทานมากเกินไป และหลังจากนั้นก็เริ่มรับประทานอาหารตามปกติ และน้ำหนักตัวของท่านก็จะกลับคืนมา พร้อมกับชีวิตจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง "เหตุฉะนั้นท่านจงถวายเกียรติแด่พระเจ้าของท่าน ด้วยร่างกายของท่าน" (1 โครินธ์ 6:19,20 ) แต่พระเยซูทรงสอนว่า "จงระวังให้ดีเกลือกว่าท่านจะเต็มล้นไปด้วยการดื่มเหล้าองุ่นมาก และด้วยการเมา" (ลูกา 21:34-36)


10. การถืออดอาหารกับปัญหายาเสพติด

                วิธีการหยุดยาเสพติดทุกชนิดคือ การอดอาหารอธิษฐาน วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดเพราะเป็นการขับสารเสพติดที่มีอยู่ในร่างกายออก ไป แล้วพระวิญญาณของพระเจ้าจะทรงเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกายของคนนั้น คริสตชนบางรายก็ยอมปฏิเสธวิธีการนี้ 2-3 มากกว่าที่จะปฏิเสธการเป็นทาสของบุหรี่ไปตลอดชีวิต มันเป็นเรื่องที่น่าอายมากที่คริสเตียนติดยาเสพติด แล้วอยากเข้าแผ่นดินของพระเจ้า


11.เสรีภาพที่เต็มไปด้วยพระสิริ

ถ้า หากเราอธิษฐานอดอาหารเป็นลูกโซ่พระเจ้าก็จะทรงนำพระสิริแห่งเสรีภาพมาสู่การ อธิษฐานในพระวิญญาณ และพระสัญญาของพระเจ้าทั้ง 34,444 ครั้งในพระวจนะของพระองค์ก็จะเกิดผลตามมา การอธิษฐานอดอาหารคือเป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่หลงหายอยู่ที่ติดอยู่ กับบ่วงแร้วของมารซาตานและนำเขาออกจากการถูกข่มเหงและนำไปรับการรักษา

การ อธิษฐานอดอาหารเปรียบเสมือนการจุดไฟเผาความคิดที่ไม่ดีการวิพากษ์วิจารณ์ผู้ อื่น ความอิจฉาริษยา และความเกลียดชัง ช่วยทำให้เต็มไปด้วยพลังแห่งความรัก และสามารถช่วยเหลือผู้อื่นด้วยการกระทำก็ได้ และสามารถทำให้ผู้อื่นได้รับการเผาความคิดที่ไม่ดีนั้นออกจากร่างกาย ความคิดของเขาด้วย


12. การถืออดอาหารในประวัติศาสตร์ของคริสตจักร

ผู้นำคริสเตียนที่เข้มแข็งคือเป็นคนอธิษฐานอดอาหาร  

ซานโวนารอลา ( Savonarola ) ได้เทศนาในเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี หลังจากยุคมืดคริสต์ศตวรรษที่ 14 คำเทศนาของท่านเต็มไปด้วยไฟแห่งการฟื้นฟู และผู้คนเกือบทั้งเมืองกลับใจมาเชื่อพระเยซูคริสต์ ชีวิตของท่านเป็นชีวิตแห่งการรับใช้พระเจ้าด้วยการอดอาหารอธิษฐานแต่ผู้นำใน พระศาสนจักรไม่พอใจท่านในที่สุดท่านได้ถูกประหารชีวิตโดยการเผาทั้งเป็น

มาร์ติน ลูเธอร์ ( Martin Luther ) ที่เยอรมัน ท่านเป็นคริสตชนที่กล้าหาญ ท่านผู้นี้แหละเป็นผู้อดอาหารอธิษฐานประจำ ผลที่ตามมาก็คือการปฏิรูปทางศาสนา ปลดปล่อยคนออกจากการเป็นของพวกนิยมโรมัน  ท่านเป็นผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณทั่วทั้งยุโรปและสหรัฐอเมริกาและยิ่งกว่านั้น ท่านนำคนมาให้ความสำคัญกับการอดอาหารอธิษฐาน

จอห์น น๊อกซ์ ( John Knox ) เป็นนักอดอาหารอธิษฐานในประเทศสก๊อตแลนด์จนพระนางแมรี่ย์ผู้ต่อต้าน คริสเตียน กลัวคำอธิษฐานของท่านมากกว่ากลัวกองทัพของพระนางอลิซาเบธของอังกฤษเสียอีก

จอห์น เวสเล่ย์ ( John Wesley ) เป็นนักอดอาหารอธิษฐานตามแบบในพระคัมภีร์

โจนาธาน เอ็ดเวิร์ด ( Johnathan Edwards )จากรัฐ New England เป็นนักฟื้นฟูโดยชีวิตของท่านเป็นอธิษฐานอดอาหาร

ชาลร์ส จี ฟินนี่ (Charles G. Finny) เป็น ผู้ยืนหยัดในความเชื่อของเขาที่มีต่อองค์พระเยซูคริสต์ ด้วยชีวิตที่อดอาหารอย่างเอาจริงเอาจัง เขาอดอาหารอธิษฐานเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน และกล่าวเป็นพยานว่า การกระทำเช่นนี้ทำให้เต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์


13. ใคร….คือคนที่ควรจะถืออดอาหาร

เมื่อ พิจารณาถึงพระคำของพระเจ้าแล้วคนที่รับความรอดผ่านพระเยซูเจ้าทุกคนควรจะถือ อดอาหารไม่จำเป็นที่เราจะต้องเข้าใจถึงพระคำทั้งหมดแล้วค่อยถืออดอาหารแต่ เราสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตของวิญญาณในการอดอาหารอธิษฐานได้อัคร ทูตเปาโลได้แสดงให้เห็นข้อแตกต่างอย่างชัดเจนแล้วว่าความหิวกับการถืออด อาหาร ใน 2 โครินธ์ 11:27 จากการถืออดอาหารบ่อยๆ ท่านเปาโลกล่าวว่าเป็นงานรับใช้พระเจ้า

จุดประสงค์ที่สำคัญอีกประการ หนึ่งซึ่งคริสเตียนทุกคนควรจะถืออดอาหารคือเพื่อ ให้มีความเชื่อมั่นในการเชื่อพระเจ้าในพระสัญญาซึ่งสำเร็จสมบูรณ์ของพระองค์


บทสรุป

พระ เยซูตรัสว่า"ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามาให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเองและแบกกางเขนตามเรา มา"ลูกา 9:23,24 นี่เป็นการทรงเรียกของพระองค์ง่ายๆนั่นก็คือการถืออดอาหารซึ่งเป็นการเอาชนะ ตนเองในเรื่องฝ่ายเนื้อหนังแต่ผู้ใดชนะตนเองและเนื้อหนังผู้นั้นจะมีชีวิต รอดการถืออดอาหารเป็นการฝึกฝนที่สำคัญฝ่ายจิตวิญญาณที่จะช่วยทำลายตัวเก่า ของคริสเตียนและเป็นทางให้พระเยซูมีชีวิตอยู่ในเราท่านเปาโลกล่าวว่า"แต่ ข้าพเจ้าก็ทุบตีร่างกายให้มันแข็งจนอยู่มือเพราะเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้าประกาศ ข่าวประเสริฐแก่คนอื่นแล้วตัวข้าพเจ้าเองจะเป็นคนที่ใช้การไม่ได้" 1โครินธ์ 9:27

วิธีหนึ่งที่อัครทูตเปาโลทุบตีร่างกายของท่านและทำให้ เข้มแข็งจนอยู่มือคือการ อธิษฐานอดอาหารบ่อยๆ "บัดนี้ข้าพเจ้าปลื้มปีติในการที่ได้รัยความทุกข์ยากเพื่อท่านส่วนการทน ทุกข์ของพระคริสต์ที่ยังขาดอยู่นั้น ข้าพเจ้าก็รับทนจนสำเร็จในเนื้อหนังของข้าพเจ้า เพราะเห็นแก่พระกายของพระคริสต์ คือ “คริสตจักร" โคโลสี 1:24

คริสต ชนทุกคนสามารถเริ่มต้นได้ด้วยการอดอาหารอธิษฐานและแสวงหาส่วนลึกของจิตใจ ท่านสามารถเรียกกองทัพของพระเจ้าให้มารวมกันด้วยคำพูด ความจริง และการทูลขอด้วยน้ำตา แล้วจะเห็นผลตามน้ำพระทัยแน่นอน


แหล่งข้อมูล
http://www.theology.ac.th/bit/index.php?option=com_content&task=view&id=362&Itemid=2

เกิดมาทำไม ???

โคโลสี 1:16 เพราะว่าในพระองค์ (คือพระเยซู) สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น   ทั้งในท้องฟ้าและที่แผ่นดินโลก   สิ่งซึ่งประจักษ์แก่ตาและซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา   ไม่ว่าจะเป็นเทวบัลลังก์   หรือเป็นเทพอาณาจักร   หรือเป็นเทพผู้ครองหรือศักดิเทพ   สรรพสิ่งทั้งสิ้นถูกสร้างขึ้น   โดยพระองค์และเพื่อพระองค์

- จุดหมายของชีวิตจะไม่มีค่า ไร้ความหมาย ถ้าโลกนี้ไม่มีพระเจ้า
- เป้าหมายชีวิตของเราสำคัญยิ่งกว่าความต้องการของตนเอง
- ทำไมเราต้องเกิดมาด้วย ???...ก็เพราะพระเจ้าสร้างเราอย่างมีเป้าหมาย
- ตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์ มีคนมากมายที่หลงผิด เพราะใช้ตนเองเป็นศูนย์กลาง
- การจดจ่อที่ตัวเราเองจะไม่มีวันรู้เป้าหมายของชีวิต
- เราจะไม่พบเป้าหมาย หรือความหมายของชีวิตจากการค้นหาภายในตนเอง  เพราะเราไม่ได้สร้างตนเองขึ้นมา...ผู้สร้างเท่านั้นที่รู้จุดประสงค์  คนสร้าง TV ย่อมรู้จุดประสงค์ของ TV
- เราต้องเริ่มจดจ่อที่พระเจ้าผู้สร้างเรา...เพราะพระเจ้ามีเป้าหมายให้เราเกิดมา
- ตราบใดที่เรายังไม่รู้เป้าหมาย  ชีวิตเราก็ไร้ความหมาย  ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม...ทางอื่นนำไปสู่ทางตัน
- การจดจ่อกับตัวเองคือทางตัน แต่การจดจ่อพระเจ้านำไปสู่เสรีภาพ
- แนวทางที่ไม่ใช่ของคริสเตียน มักจะเสนอแนวทางให้ค้นพบตัวเอง  มีขั้นตอนเช่น ความฝันของคุณ...ค่านิยมของคุณ...เป้าหมายบางอย่าง...เก่างด้านไหน...ตั้งเป้าให้สูง...ทุ่มเทเพื่อสิ่งนั้น...มีวินัย...อย่ายอมแพ้
- การประสบความความเร็จ กับการบรรลุจุดประสงค์ของชีวิตนั้น ไม่เหมือนกัน
- เราอาจจะประสบความสำเร็จในการเรียน  แข่งขันชนะเลิศ เล่นเกมส์เก่ง  แต่ไม่รู้เป้าหมายของชีวิต

มัทธิว 16:25-26
ผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตรอด   ผู้นั้นจะเสียชีวิต   แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา   ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตของตน   ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร

แล้วเราจะพบเป้าหมายของพระเจ้าได้อย่างไร ว่าทำไมพระองค์สร้างเรามา ???
1.เดา ...นักปราชญ์ที่ฉลาด เก่งหลายเรื่อง แต่ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม  ได้แต่เดาเท่านั้น  หรือคิดเอง หรืออาจจะตอบว่า "ไม่รู้"
2.การเปิดเผยจากพระเจ้า...พระเจ้าเปิดเผยเกี่ยวกับชีวิตของเราในพระคัมภีร์ ทางที่ง่ายที่สุดในการหาจุดประสงค์หรือเป้าหมายของบางสิ่ง...ก็ต้องไปถามผู้สร้าง

- พระคัมภีร์อธิบายว่า ทำไมเราจึงมีชีวิตอยู่...จะดำเนินชีวิตอย่างไร...หลักเลี่ยงอะไร...จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต
- ถ้าเราต้องการพบเป้าหมายของชีวิต เราต้องหาในพระคัมภีร์ของพระเจ้า  ไม่ใช่แสวงหาสติปัญญาของโลก
- ใครรักความจริงบ้าง ? ใครเชื่อว่าพระคัมภีร์คือความจริง ? เราต้องสร้างชีวิตบนความจริง คือ พระคัมภีร์...ไม่ใช่จิตวิทยา...บางคนอาจจะชอบคำคม หรือจิตวิทยามากเกินไป จนมันสำคัญกว่าถ้อยคำในพระคัมภีร์

เอเฟซัส 1:11-12 ..."ในพระองค์นั้น   ตามพระดำริของพระองค์ผู้ทรงกระทำทุกสิ่ง   ตามที่ได้ทรงตริตรองไว้สมกับพระทัยของพระองค์  เราทั้งหลายผู้ได้หวังใจในพระคริสต์ก่อน   ได้รับกำหนดและรับการแต่งตั้งให้เป็นที่ถวายสรรเสริญแด่พระสิริของพระองค์"
1. เราจะค้นพบตัวเอง และเป้าหมายของชีวิตโดยความสัมพันธ์กับพระเยซูคริสต์
2. พระเจ้ามีแผนการก่อนที่เราจะเกิด เราอาจเลือกงานอดิเรก โรงเรียน มหาลัย เสื้อผ้า กระเป๋า ฯลฯ แต่เลือกจุดประสงค์ของชีวิตไม่ได้
3. ชีวิตของเราทุกคน พระเจ้าวางแผนไว้ เพื่อให้เราเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์

เนื่องจากมีกระแสมากมายอยู่รอบตัวเรา
เราจะระวังตัวอย่างไรที่จะเตือนตนเองว่า
"เรามีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าเท่านั้น" 

ฟีลิปปี 1:21 การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์   และการตายก็ได้กำไร
กิจการ 20:24 ข้าพเจ้ามิได้ถือว่า   ชีวิตของข้าพเจ้าเป็นสิ่งมีค่าและประเสริฐสำหรับตัวข้าพเจ้า   แต่ในชีวิตของข้าพเจ้าขอทำหน้าที่ให้สำเร็จก็แล้วกัน   และทำการปรนนิบัติที่ได้รับมอบหมายจากพระเยซูเจ้า   คือที่จะเป็นพยานถึงข่าวประเสริฐ   ซึ่งสำแดงพระคุณของพระเจ้านั้น

"ถ้าไม่มีพระเจ้า ชีวิตก็ไม่มีความหมาย"

ชัยชนะเหนือความโกรธ

ความโกรธเป็นเรื่องธรรมดา
ความโกรธเป็นความรู้สึกอย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับความเหงา  ความเศร้าเสียใจ และความตื่นเต้น จึงไม่เป็นเรื่องแปลกถ้าคุณรู้สึกโกรธ เพราะมันเป็นการตอบสนองตามปกติของมนุษย์ทั่วไป  บางครั้งความโกรธอาจจะเกิดจากความกลัวหรือความเจ็บปวด  คุณอาจจะโกรธตัวเองที่หาเรื่องยุ่งยากมาสู่ตนเอง หรือโกรธคนรอบข้างที่ทำร้ายคุณ หรือทำให้คุณผิดหวัง โกรธแม้กระทั่งเทพเจ้า ฟ้าดิน ที่ปล่อยให้ความทุกข์ยากเกิดขึ้นกับคุณ

บางครั้งความโกรธก็เป็นเรื่องดี
เชื่อหรือไม่ว่า หากเรามีสติ ความโกรธก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายและบางครั้งอาจจะสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้เกิดขึ้นได้ด้วยซ้ำ  แต่ที่สำคัญที่สุด  เราจะต้องไม่ปล่อยให้อารมณ์โกรธนำเราไปสู่ความเกลียดชังหรือการทำร้ายผู้อื่นซึ่งมีแต่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก  พระคัมภีร์บันทึกว่า แม้พระเยซูผู้เป็นพระเจ้าเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ก็ยังรู้จักโกรธเช่นกัน แต่พระองค์ก็ไม่เคยทำบาปแม้สักครั้งเดียว  พระองค์เป็นแบบอย่างของคำสอนที่ว่า "จงเกลียดชังความบาป แต่อย่าเกลียดชังคนทำบาป"  เรามักโกรธผู้ที่ทำผิดต่อเรา  แต่หากเราคิดด้วยใจเป็นธรรมแล้วตัวเราเองก็คงเคยทำผิดต่อผู้อื่นทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจเช่นกัน

ความโกรธเป็นเรื่องร้ายถ้าคุณโกรธแบบไม่เลิกรา
ความโกรธไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ความเคียดแค้นและเกลียดชังมีแต่จะนำความวิบัติมาสู่ชีวิตของเรา  เพราะความโกรธมีพลังอำนาจอาจทำลายชีวิตทั้งชีวิตหากเราไม่อาจควบคุมอารมณ์โกรธได้  บางครั้งเราลงโทษตัวเองที่ได้ทำผิดต่อคนอื่น  เราจึงโกรธและเกลียดตัวเราเองอย่างไม่รู้ตัว  ความโกรธทำให้เราคิดอะไรไม่ออก และถึงจะคิดอะไรได้บ้าง ก็ไม่สามารถคิดได้อย่างถูกต้องเหมาะสม  เราจึงยิ่งรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น

ให้เรามาดูว่าพระเจ้าสอนเราอย่างไรในเรื่องความโกรธ

จะโกรธก็โกรธได้ แต่อย่าทำบาป
อย่าให้ถึงตะวันตกแล้วยังโกรธอยู่ อย่าให้โอกาสแก่มาร
(เอเฟซัส 4:26-27)

ให้ทุกคนไวในการฟัง   ช้าในการพูด   ช้าในการโกรธ
เพราะว่าความโกรธของมนุษย์ไม่ก่อให้เกิดความชอบธรรมของพระเจ้า
(ยากอบ 1:19-20)

บุคคลผู้โกรธช้าก็ดีกว่าคนมีกำลังมาก  
  และบุคคลผู้ปกครองจิตใจของตนเองก็ดีกว่าผู้ที่ตีเมืองได้  
(สุภาษิต 16:32)

แล้วการแก้แค้นล่ะ
หลายครั้งที่ความโกรธนำมาซึ่งความแค้นและตามมาด้วยการแก้แค้น  หยุดสักนิดคิดสักหน่อยว่า ถ้าเราแก้แค้นเพื่อให้เกิดความยุติธรรมได้ไหม?  ความจริงก็คือ การแก้แค้นไม่เคยช่วยให้ใครรู้สึกดีขึ้น และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เลวร้ายให้ดีขึ้นได้  สิ่งที่เราทุกคนควรทำคือ พยายามให้อภัย และทำใจให้สบายด้วยการไม่ยอมเป็นทาสของอารมณ์โกรธหรือเกลียดชัง  ซึ่งอาจนำไปสู่ความรู้สึกต้องการแก้แค้น หากคุณไม่ยอมให้อภัยก็หมายความว่าผู้ที่ทำร้ายคุณยังคงมีอำนาจเหนือคุณอยู่ และจะยิ่งทำให้คุณรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าเดิม

ไม่ทำบาป

โดย ดร.เฮ็นรี ซี ซัน


พระคัมภีร์กล่าวว่า "ผู้ใดบังเกิดจากพระเจ้า ผู้นั้นไม่กระทำบาป
เพราะสภาพของพระเจ้าดำรงอยู่กับผู้นั้น และเขากระทำบาปไม่ได้
เพราะเขาเกิดจากพระเจ้า" (2 ยอห์น 3:9)

ในพระธรรม 1 ยอห์น 5:18 บันทึกไว้ว่า "เราทั้งหลายรู้ว่า
คนที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาป แต่พระบุตรของพระเจ้าได้ทรงคุ้มครองรักษาเขา
และมารร้ายไม่แตกต้องเขา"

ผู้ใดบังเกิดใหม่โดยพระเจ้า ปรกติจะไม่มีทำบาป แต่บางครั้งก็ยังทำบาป
ดังนั้น คำว่า "ไม่ทำบาป" หรือ "ไม่มีบาป" หมายความว่า
คนที่บังเกิดใหม่แล้วจะเลิกทำบาป คือเขาจะไม่มีนิสัยทำบาปเป็นปรกติวิสัย
เพราะพระเจ้าทำให้เขารู้สึกทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจ
จนเขาต้องหยุดทำบาป

เมื่อผู้ที่บังเกิดใหม่แล้วทำบาป เขาจะรู้สึกเจ็บปวดเสียใจมาก
เหมือนคนที่เอามือไปถูกเตาร้อนๆ เขาจะรีบชักมือกลับเพราะความเจ็บปวดนั้น
มีแต่คนที่ความรู้สึกทางประสาทตายด้าน เช่น
คนโรคเรื้อนเท่านั้นที่จะไม่รีบชักมือกลับ

ดังนั้น ถ้าบุคคลใดอ้างว่าบังเกิดใหม่แล้ว
แต่ยังดำเนินชีวิตในความบาปอย่างไม่สะทกสะท้าน
เขาก็ยังไม่ได้บังเกิดใหม่จริงๆ

แต่เมื่อใครบังเกิดใหม่ เขาก็ไม่ได้กลายเป็นเหมือนทูตสวรรค์ในทันที
เขายังมีธรรมชาติเก่า ยังอยู่ในเนื้อหนัง จึงถูกล่อลวงให้ทำบาปอยู่เสมอ
โดยความใคร่ของเนื้อหนัง โดยโลกียวิสัยหรือโดยมารซาตาน

ดังนั้น การต่อสู้ระหว่างฝ่ายเนื้อหนังกับฝ่ายวิญญาณ
จึงเริ่มขึ้นตั้งแต่นาทีที่เขาบังเกิดใหม่ ดังที่อาจารย์เปาโลได้กล่าวว่า
"โอย ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้
ใครจะช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากร่างกายนี้ ซึ่งเป็นของความตายได้" (โรม 7:24)

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่บังเกิดใหม่แล้ว สามารถเอาชนะเนื้อหนัง โลกียวิสัย
และมารซาตานได้ด้วยการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้า ดังนั้น
บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่า "ลูกทั้งหลายเอ๋ย ท่านเป็นฝ่ายพระเจ้า
และได้ชนะเขาเหล่านั้น
เพราะว่าพระองค์ผู้ทรงอยู่ในท่านทั้งหลายเป็นใหญ่กว่าผู้นั้นที่อยู่ในโลก" (1ยอห์น 4:4)

เมื่อคนที่บังเกิดใหม่แล้วพลาดทำความบาป สิ่งที่ต้องทำก็คือ

ประการแรก เขาจะรู้สึกอายและรู้สึกผิด
และรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจต่อสิ่งที่ตนทำลงไป
เขาควรสารภาพความผิดบาปต่อพระเจ้า

ประการที่สอง เขาควรกลับใจใหม่ ตั้งใจจะไม่ทำผิดทำบาปอีก
และหันหลังให้ความบาปอย่างสิ้นเชิง ละทิ้งชีวิตคริสเตียนฝ่ายเนื้อหนัง
หันมาดำเนินชีวิตที่เปี่ยมล้นด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า

ประการที่สาม เขาควรจะขอบคุณพระเจ้าสำหรับการให้อภัยของพระองค์
ซึ่งพระองค์ได้อภัยให้ทั้งสิ้นแล้ว
เมื่อเขาได้บังเกิดใหม่พร้อมกับชำระเขาให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น
โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์เจ้า ทั้งบาปในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
โดยเหตุนี้ เขาจึงไม่มีบาป

พระคัมภีร์กล่าวว่า "เมื่อมีการลบบาปแล้ว
ก็ไม่มีการถวายเครื่องบูชาลบบาปอีกต่อไป" (ฮีบรู 10-18)
มีเพียงสิ่งเดียวที่ชำระบาปของเราได้คือ พระโลหิตของพระเยซูคริสต์
"เพราะเลือดโคผู้และเลือดแพะไม่สามารถชำระบาปให้หมดสิ้นไปได้" (ฮีบรู 10:4)

---
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 281 วันที่ 16 - 22 ตุลาคม
พ.ศ. 2553 หน้า 25 คอลัมน์ พระวจนธรรม โดย ดร.เฮ็นรี ซี ซัน

การดำเนินชีวิตที่ดี



ทุกคนคงคุ้นเคยกับคำว่า "ดี" ...เป็นคำทั่วไปที่เราใช้กันมาก  เช่น อากาศดี  อาหารดี  ทำงานดี ...ผู้ใหญ่มักจะพูดกับเด็กว่า "เป็นเด็กดีนะ"
ในพระคัมภีร์ก็พูดถึงคำว่า "ดี" หรือ "ความดี" มากมาย  และสิ่งที่ทุกคนพูดกันบ่อย และสำคัญมากที่สุดคือ "ชีวิตที่ดี" หรือ "อยู่ดีมีสุข"

ชีวิตที่ดีคืออะไร ???
... สำหรับบาง คน ชีวิตที่ดี หมายถึง "การดูดี"  เช่น การเปลี่ยนสีผิว  คนดำอยากขาว  คนขาวอยากดำ  การทำทรงผม  ดูดไขมัน  เครื่องประดับ  เสื้อผ้า  รองเท้า ฯลฯ  ไม่ว่าเสียเงินมากเท่าไหร่ก็ยอมเพื่อให้ตนเองดูดี  ... แต่สิ่งเหล่านี้มี ปัญหา คือ สิ่งที่ดูดีสำหรับผม อาจไม่ดีสำหรับบางคน...และสิ่งที่ดูดีสำหรับบางคน อาจจะไม่ดูดีสำหรับผมก็ได้  ดังนั้นการดูดีสำหรับแต่ละคนจึงมีความหมายต่างกัน

บางคน คิดว่า "ชีวิตที่ดี" หมายถึง "การรู้สึกดีๆ" พวกเขายอมลงทุนเท่าไหร่ก็ได้เพื่อให้รู้สึกดี  เช่น ไปนั่งอาบน้ำแร่  ดูหนัง  ร้องเพลง ไปเที่ยวสวนสนุก  หรือกินยา  ฯลฯ  มาตรฐานการมีชีวิตอยู่ของพวกเขาคือ "ถ้ารู้สึกดี ก็ทำเลย"
บางคนคิดว่าการมีชีวิตที่ดีหมายถึง มีสิ่งของเยอะ ๆ จึงตั้งหน้าตั้งตากอบโกยเพื่อให้ได้มา  สำหรับคนเหล่านี้ เป้าหมายทั้งหมดของชีวิตคือ เพื่อหาเงินและผลาญมันไปกับการซื้อข้าวของ

แต่ในพระคัมภีร์ให้ภาพชีวิตที่ดีอีกอย่างหนึ่งที่แตกต่างจากที่กล่าวมาอย่าง สิ้นเชิง  พระคัมภีร์กล่าวว่า ชีวิตที่ดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับรูปร่างหน้าตาดี หรือความรู้สึกดี หรือมีสิ่งของมากมาย แต่ชีวิตที่ดีคือชีวิตที่เต็มไปด้วยคุณงามความดีต่างหาก...ถ้าเราทำสิ่งที่ ดี ๆ ...เราย่อมรู้สึกดี และดูดีขึ้นด้วย

ปฐก.1 พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่ง แล้วก็ตรัสว่า "ดี" เพราะอะไร ??? ก็เพราะว่ามันเป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า...ดังนั้น "ความดี" หมายถึง เป็นไปตามพระประสงค์  เป็นอย่างที่พระเจ้าตั้งใจให้เราเป็น
พระเจ้าสร้างเรามาเพื่อประสงค์ของพระองค์
...เอเฟซัส 2:10 เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อ ให้ทำการดี ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ก่อนแล้วเพื่อให้เราดำเนินตาม...เราไม่ได้รอดเพราะการทำดีของเรา แต่รอดเพื่อทำความดี  วิถีชีวิตแบบคริสเตียนเป็นวิถีชีวิตแห่งคุณงามความดี ...แต่ทำไมจึงควรเป็นคนดี แล้วเราจะได้อะไรจากถิวีชีวิตที่ดีงามนี้  ?


เราไม่ได้ดีเองตามธรรมชาติ
แต่ปัญหามีอยู่ว่า เราไม่ได้ดีเองตามธรรมชาติ...เราทุกคนเกิดมามีแนวโน้มที่เห็นแก่ตัวตามธรรมชาติ
1. อิสยาห์ 53:5-6  ทุกคนทำตามใจตนเอง และอยากเป็นพระเจ้าเสียเอง  ไม่มีใครสมบูรณ์เลยสักคน มีแต่พระเจ้าเท่านั้น  ส่วนพวกเราทุกคนล้วนทำบาปและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า
2. เรารู้ว่ามนุษย์ไม่ได้เป็นคนดีตั้งแต่เกิด ทุกยุคทุกสมัยมีเรื่องราวความโหดร้ายของมนุษย์ แม้แต่ยุคปัจจุบันเป็นรุ่นที่มีการศึกษามากที่สุด มีวิทยาการล้ำเลิศที่สุด แต่มนุษย์ก็ยังมีสงคราม  การก่อการร้าย  ความรุนแรง ความลำเอียง  เพราะต้นตอความบาปยังอยู่ในตัวของเรา
3. คนที่เป็นพ่อแม่จะรู้ดีครับ ... พ่อแม่ไม่ีเคยสอนลูกให้โกหก แต่มันมาเองตามธรรมชาติ  เห็นแก่ตัวโดยธรรมชาติ  ...มนุษย์เรามีแนวโน้มจะทำผิดอยู่ภายในแล้ว
4. เราสามารถรับรู้ได้ในใจตนเองว่า มีหลายสิ่งที่ไม่ดี แต่เราก็ยังตั้งใจทำ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันไม่ดี ...และถึงแม้ว่า เราอยากทำดี  เรายังต้องต่อสู้กับจิตใจของเราเองในการลงมือทำจริง ๆ

เราเคยต่อสู้เพื่อจะทำความดีไหม โดยที่ในใจของเรากำลังดึงกัน ดีและชั่วเล่นชักเย่อกัน   การเปลี่ยนธรรมชาติภายในของเราต้องใช้พลังมากกว่าความตั้งใจ ไม่ใช่แค่ดีดนิ้วแล้ว เราก็กลายเป็นคนดีได้เลย
ท่านเปาโลเองก็พบว่าชีวิตของตนเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเราทุกคนก็เป็นด้วยหรือเปล่า ?
โรม 7:15 ข้าพเจ้าไม่เข้าใจการกระทำของข้าพเจ้าเอง   เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ทำสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะทำ   แต่กลับทำสิ่งที่ข้าพเจ้าเกลียดชังนั้น ...เปาโลบอกว่า ไม่ว่าเขาหันไปทางไหน ก็บังคับตนเองให้ทำสิ่งที่ถูกต้องไม่ได้ เขาอยากทำแต่ก็ทำไม่ได้  เมื่ออยากทำดี ก็ไม่ได้ทำ เมื่อพยายามไม่ทำผิด แต่ก็ยังทำผิด

บางทีเราอาจกล่าวว่า ...ถึงแม้ฉันไม่ใช่คนดี 100% แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าคนนั้นคนนี้...แต่พระเจ้าไม่ได้วัดเราที่คะแนนความ ดี  พระองค์ไม่ได้ตัดสินเราว่าเราดีกว่าคนอื่นยังไง  แต่พระเยซูเท่านั้นที่เป็นมาตรฐานการวัด และพระองค์เป็นคนสมบูรณ์แบบ  ดังนั้น เมื่อเราเทียบกับพระคริสต์ เราเทียบไม่ติดเลย เราทุกคนไปไม่ถึงมาตรฐานนั้น...เมื่อเราประเมินตนเองโดยเอาพระเยซูเป็น มาตรฐาน  เราก็จะรู้ความจริงว่า ไม่มีใครดีเพียบพร้อม


ความดีของเราเป็นของขวัญจากพระเจ้า
พระเจ้าไม่ได้ช่วยเราให้รอดเพราะความดีของเรา แต่เป็นเพราะพระเมตตากรุณาของพระองค์เอง โดยการไถ่ของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าจึงประกาศว่าเราเป็นคนชอบธรรม หรือเป็นคนดีนั่นเอง  ...ดังนั้น ความดีเป็นของขวัญจากพระเจ้า เราไม่สามารถทำงานอะไรเพื่อแลกมันมา แล้วที่จริง เราก็ไม่สมควรได้รับด้วย
พระคัมภีร์เรียกพระราชกิจของพระ คริสต์นี้ว่า "การทำให้ชอบธรรม" หมายความว่า เราถูกชำระให้เป็นคนดีแล้ว เพราะพระเยซูเป็นผู้ทำให้เรา  เมื่อเราวางใจในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าให้ธรรมชาติใหม่แก่เรา (เป็นการเริ่มต้นใหม่ หรือ "บังเกิดใหม่") และพระองค์ทรงให้ความปรารถนาและกำลังที่เราจะทำดี
โดยพระคุณและฤทธิ์ เดชของพระเจ้า เราถูกสร้างใหม่ให้เป็นคนดี พระเจ้าทำงานจากภายในใจออกสู่ภายนอก  ไม่ใช่จากข้างนอกเข้าข้างใน ... แล้ว
คริสเตียนจะไม่ทำบาปใช่ไหม...ไม่ใช่แน่นอน...เราทุกคนทำผิดด้วยกันทั้ง สิ้น บาปทั้งสิ้น...แต่ตอนนี้เราเป็นคริสเตียนแล้ว มีพลังใหม่และความปรารถนาใหม่ที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง  พระเจ้าแก้ปัญหาธรรมชาติเก่าของเราแล้วให้ธรรมชาติใหม่ที่เหมือนพระคริสต์ แก่เรา


หัดทำดี
พระเจ้าเปลี่ยนธรรมชาติของ เราแล้ว ตอนนี้เราจำเป็นต้องร่วมมือกับพระองค์ ทิตัส 3:4 บอกว่า เราต้องหัดทำดีต่อไป  ต่อไปนี้เป็นวิธีง่าย ๆ ให้หัดทำดี

1.เชี่ยวชาญพระคำ  เรา ต้องศึกษา อ่านพระคัมภีร์ และท่องจำให้มากพอ ให้ชีวิตเต็มไปด้วยถ้อยคำของพระเจ้า...เรามีแหล่งที่จะเลือกสร้างค่านิยมของ เราได้เพียง 2 แหล่งเท่านั้น คือ จากโลกนี้ หรือจากพระคำของพระเจ้า และการตัดสินใจขึ้นอยู่กับตัวเราเอง
"พระคัมภีร์จะช่วยให้เราห่างไกล จากบาป...หรือ...บาปจะทำให้เราห่างไกลจากพระคัมภีร์" … 2 ทธ.3:16 พระคัมภีร์   ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า  และเป็นประโยชน์ในการสอน   การตักเตือนว่ากล่าว   การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี   และการอบรมในทางธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง...
...ฉะนั้น ให้เชี่ยวชาญพระคำเข้าไว้ ถ้าเราอยากทำดี ต้องเติมชีวิตให้เต็มด้วยพระคำ
การ เป็นเจ้าของพระคัมภีร์นั้นยังไม่พอ เราต้องใช้งานด้วย  ไม่ใช่เอาไว้บนหิ้ง มีแต่ฝุ่นหรือหยากไย่เกาะเต็ม...บางครั้งเราอาจสัตย์ซื่อต่อข่าวมากกว่า สัตย์ซื่อจ่อพระคำของพระเจ้า...บางทีเราสามารถอ่านนิตยสารหรือนิยายได้เป็น วัน ๆ โดยไม่ขาดตอน...แต่เราไม่อ่านพระคัมภีร์เลย  ทั้ง ๆ ที่พระคัมภีร์นี่แหละคือสิ่งที่สอนความจริงแก่เราว่าอะไรถูกอะไรผิด
เวลาเห็นคนถือพระคัมภีร์ขาดรุ่งริ่ง เรามักพบว่าชีวิตเจ้าของพระคัมภีร์นั้นไม่ได้รุ่งริ่งตามพระคัมภีร์...จงเชี่ยวชาญพระคำเข้าไว้

2.รักษาความคิดจิตใจ  ถ้าอยากทำดี ต้องหัดควบคุมความคิดของเรา นี่จำเป็นมาก เพราะ "เราคิดอะไรในใจ เราก็เป็นอย่างนั้น" ...สุภาษิต 4:23 จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้าน เพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ ... บาปมักเริ่มก่อตัวขึ้นในความคิดเสมอ  ซาตานใส่ความคิดต่าง ๆ ที่เรียกว่าการล่อใจ ล่อลวงในหัวของคุณ  ถ้าเราฟูมฟักสิ่งล่อลวงเหล่านี้ไว้ในใจมันจะเผยโฉมออกมาให้เห็นในชีวิตของ เรา  บาปเริ่มจากความคิดก่อนเสมอ  ดังนั้นต้องรักษาความคิดจิตให้ดี
เมื่อ เราได้รับข้อมูลต่าง ๆ สารพัด จากทีวี อินเตอร์เน็ต เราก็มีทางเลือกได้ว่า เราจะรับข้อมูลอันไหน เราจึงต้องคิดแยกแยะอยู่เสมอ (ฟีลิปปี 4:8) ว่าสิ่งใดที่เป็นความจริง สิ่งที่น่านับถือ   สิ่งที่ยุติธรรม   สิ่งที่บริสุทธิ์   สิ่งที่น่ารัก   สิ่งที่ทรงคุณ   คือถ้ามีสิ่งใดที่ล้ำเลิศ   สิ่งใดที่ควรแก่การสรรเสริญ   ก็ขอจงใคร่ครวญดู...ระวังข้อมูลที่เป็นพิษที่เข้ามาในความคิดของเรา

3.ยึดมั่นในความดี
ถ้าเราอยากทำดี เราต้องยึดมั่นยืนหยัดในความจริงและความดี  เราต้องรู้ว่า
คริสเตียนต้องเกลียดชังบางอย่าง โรม 12:9 "จงรักด้วยใจจริง   จงเกลียดชังสิ่งที่ชั่ว   จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี"  ... เราต้องตระหนักว่า ความดีหมายถึงการยืนหยัดเพื่อสิ่งที่ถูกต้องและต่อต้านสิ่งที่ผิด...พระเยซู เกลียดชังบาป แต่รักคนบาป...แต่มนุษย์มักทำตรงกันข้าม ...เรากลับเกลียดคนบาป แต่รักความบาป ...เราจำเป็นต้องเข้าใจว่า เมื่อเรายึดมั่นในความจริงตามแบบของพระคริสต์  เราอาจจะไม่มีใครมาชอบเรา  บางคนอาจจะเรียกเราว่า พวกบ้าคลั่ง  บ้าศาสนา ... เมื่อเกิดแบบนี้ขึ้น ให้เรายึดมั่นไว้ 1 ปต.2:19-20 "การทนทุกข์เพราะทำดีย่อมดีกว่าทนทุกข์เพราะทำชั่ว" ...พระเยซูก็เตือนเราเหมือนกันว่า ยิ่งเราเป็นพวกเดียวกับพระเยซูมากขึ้น โลกรอบข้างเราก็เป็นศัตรูกับเรามากขึ้น
ถ้าเรายืนหยัดตามทางของพระ เยซู เรามั่นใจได้เลยว่าจะพบการต่อต้าน...2 ทิโมธี 3:3 "ในยุคสุดท้ายจะมีคนเกลียดชังความดี" ...แม้พระเยซูดำเนินชีวิตสมบูรณ์แบบ แต่พระองค์ยังถูกคนรังเกียจ เยาะเย้ย เข้าใจผิด  สุดท้ายก็ถูกประหารบนกางเขน

4.กล้าหาญที่จะแตกต่าง
สิ่งที่น่ากลัวคือการกดดันจาก สังคม ที่กดดันให้เราทำตาม ไหลไปตามกระแส เราอาจยอมคล้อยตามเพื่อจะเข้ากับคนอื่นได้...ใคร ๆ ก็อยากให้เราทำตัวเหมือนชาวบ้าน "พูดเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม" พูดจาเหมือนคนอื่น ๆ ...แต่งตัวเหมือนคนอื่น ๆ แต่เราก็ต้องระวัง เพราะทุกสิ่งมีทั้งดีและไม่มี ...
3 ยอห์น 11 "อย่าเลียนแบบสิ่งที่ชั่วร้าย แต่ให้เลียนแบบสิ่งที่ดี
เพื่อนของดาเนียล 3 คนไม่ยอมก้มกราบรูปปั้นเทพเจ้าของกษัตริย์บาบิโลน จึงถูกโยนเข้าไปในเตาไฟ เพราะพระเจ้าทรงช่วยพวกเขาไว้

5.พบปะกับผู้เชื่อคนอื่น ๆ
ถ้าเราอยากดำเนินชีวิตที่ดี เราต้องพบปะกับผู้เชื่อคนอื่น ๆ เป็นประจำ หนุนใจกันและสนับสนุนกันในชีวิตคริสเตียน ...ฮีบรู 10:24-25 "ให้เราพิจารณาดูว่าจะทำอย่างไร   จึงจะปลุกใจซึ่งกันและกันให้มีความรักและทำความดี อย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างบางคนที่ขาดอยู่นั้น   แต่จงพูดหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น"

การพบปะพูดคุยและใช้เวลากับผู้เชื่อคนอื่นๆ ก็เพื่อหนุนใจเราให้ดำเนินชีวิตดี ๆ ในโลกอันชั่วร้าย  ในฐานะคริสเตียน เราต้องไม่เลียนแบบโลกนี้  แต่เราก็ไม่ดำเนินชีวิตแปลกแยกกับโลกเช่นกัน คือ เราต้องมีชีวิตอยู่ในโลก โดยไม่เป็นของโลก...พระเยซูอธิษฐานเผื่อสาวก ...ในยอห์น 17:14-15 "ข้าพระองค์ได้มอบพระดำรัสของพระองค์ให้แก่เขาแล้ว   และโลกนี้ได้เกลียดชังเขา   เพราะเขาไม่ใช่ของโลก   เหมือนดังที่ข้าพระองค์ไม่ใช่ของโลก ข้าพระองค์ไม่ได้ขอให้พระองค์เอาเขาออกไปจากโลก   แต่ขอปกป้องเขาไว้ให้พ้นจากมารร้าย"

ทหารจะไม่ออกไปรบคนเดียวหรือตำรวจจะออกไปจับผู้ร้ายคนเดียว  ต้องมีทีม มีกอง หมู่ หมวด พวกเขารู้ดีว่าต้องการกันและกัน...คริสเตียนนั้นอยู่ในการต่อสู้ของสงคราม ฝ่ายวิญญาณ...ดังนั้นคริสเตียนก็ต้องการกันและกัน เหล่าคริสเตียนชอบมารวมกันที่โบสถ์ เพื่อบำรุงจิตวิญญาณ ปรับแต่งเครื่อง และเตรียมพร้อมออกไปสู่สงครามฝ่ายวิญญาณ


สรุป...
ชีวิตคริสเตียนไม่ง่าย แต่คุ้มค่าชั่วนิรันดร์ และการทำดีก็ไม่ง่ายเสมอไป แต่มีรางวัลรออยู่ ...กาลาเทีย 6:9 "อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี   เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว   เราก็จะเกี่ยวเก็บในเวลาอันสมควร"  ... เราจะต่อสู้กับความเมื่อยล้ายังไง จะดำเนินต่อไปอย่างไร  ก็โดยการเชี่ยวชาญพระคำ  ปกป้องความคิดจิตใจ  ยึดมั่นในความดี  กล้าที่จะแตกต่าง  และโดยการพบปะกับพี่น้องคริสเตียน เพื่อจะสนับสนุนและให้กำลังใจกัน...ขอให้พระเจ้าได้รับเกียรติ โดยการดำเนินชีวิตของเราทุกคน

………………..

เทศนาฟื้นฟู โดย อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์ (ณ คริสตจักรโมทนา ลำปาง)

วันที่ 28-29 มิถุนายน 2009 ณ คริสตจักรโมทนา ลำปาง


1/4 "ชีวิตที่ฟื้นฟู" โดย อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์


2/4 "พื้นฐานของความจริง" โดย อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์


3/4 "พื้นฐานของความจริง" โดย อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์


4/4 "ตอบคำถามความเชื่อ" โดย อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์

VDO คำพยานชีวิต
















พระเจ้า & วิทยาศาสตร์

บรรยาย โดย
นพ.ภากร จันทรมัฏฐะ


อายุรแพทย์โรคหัวใจ รพ.รามาธิบดี
แพทย์ประจำพระองค์ สมเด็จพระราชินี

วันอาทิตย์ ที่ 15 พฤษภาคม 2005 ณ คริสตจักรยุคพระคุณ




พระเจ้ามีจริงหรือไม่? ฉันจะรู้แน่ ๆ ได้อย่างไรว่าพระเจ้ามีจริง?


คำตอบ: เรารู้ว่าพระเจ้ามีจริงเพราะพระองค์ทรงเิปิดเผยพระองค์เองต่อเราในสามทาง คือ ทางการทรงสร้าง, ทางพระวจนะของพระองค์, และทางพระบุตรของพระิองค์คือ พระเยซูคริสต์

หลักฐานพื้น ๆ ที่พิสูจน์ว่าพระเ้จ้ามีอยู่จริงนั้นคือ สิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระองค์นั้น คือฤทธานุภาพอันนิรันดร์และเทวสภาพของพระเจ้า ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย” (โรม 1:20) “ฟ้าสวรรค์ประกาศสง่าราศีของพระเจ้า และภาคพื้นฟ้าสำแดงพระหัตถกิจของพระองค์” (สดุดี 19:1)

หากข้าพเจ้าเจอนาฬิกาข้อมือเรือนหนึ่งในสนามหญ้่าแห่งหนึ่ง ข้าพเจ้าคงไม่คิดว่ามัน โผล่ขึ้นมาเองโดยไม่มีที่มาที่ไป หรือ มัีนอยู่ตรงนั้นมาโดยตลอด ดูจากการออกแบบของมัน ข้าพเจ้าจะต้องเดาเอาว่าจะต้องมีใครสักคนหนึ่งออกแบบมันขึ้นมา แต่ข้าพเจ้าเห็นการออกแบบที่ยิ่งใหญ่และจำเพาะเจาะจงกว่านั้นมากนักในโลกรอบ ๆ ตัวเรา การวัดเวลาของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับนาฬิกาข้อมืิอ แต่ขึ้นอยู่กับหัตถกิจของพระเจ้า -- การหมุนของโลก (และคุณสมบัติของกัมมันตภาพรังสีซีเซียม-133 อะตอม) จักรวาลแสดงให้เห็นถึงการออกแบบที่ยิ่งใหญ่ และนี่เป็นการแสดงให้เห็นว่าจะต้องมีนักออกแบบผู้ยิ่งใหญ่

หากข้าพเจ้าเจอข้อความที่เข้ารหัสไว้่ ข้าพเจ้าก็จะต้องพยายามแก้ระหัสนั้นให้ได้ ข้าพเจ้าคงคิดว่าจะต้องมีใครสักคนที่เป็นสายลับที่เป็นผู้ส่ง ข่าวมา และเป็นผู้ตั้งรหัสเอาไว้ คิดดูซิว่า รหัส” DNA ที่อยู่ในทุกเซลล์ในร่างกายของเรานั้นซับซ้อนแค่ไหน? ความซับซ้อนและวัตถุประสงค์ของมันไม่ได้แสดงให้เห็นเลยหรือว่าต้องมีสายลับ สักคนหนึ่งเป็นผู้เขียนรหัสนี้ขึ้นมา

พระเจ้าไม่เพียงแต่ทรงสร้างโลกที่แสนสลับซับซ้อนแต่กลับกลมกลืนเข้ากันได้ เป็นอย่างดีเื้่ืท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงปลูกฝังความรู้สึกอันเป็นนิรันดร์เข้าไว้ในใจของมนุษย์ทุก คนด้วย (ปัญญาจารย์ 3:11) มนุษย์มีความคิดที่ติดตัีวมาตั้งแต่กำเนิดว่าชีวิตนี้มีอะไรมากกว่าสิ่งที่ ตามองเห็น มีอะไรที่เป็นอยู่เหนือกว่าการดำเนินชีวิตตามปกติประจำวัน ความสำนึกของเราเกี่ยวกับความเป็นนิรันดร์ปรากฎขึ้นมาอย่างน้อยสองทาง นั่นคือ การกำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นมา และการนมัสการ

ตลอดเวลาที่ผ่านมา คนทุกเชื้อชาติศาสนาได้เห็นถึงคุณค่าทางคุณธรรมบางประการซึ่งน่าแปลกใจว่า เป็นความเห็นที่เหมือนกันหมด ยกตัวอย่างเช่น ความรักในอุดมคติเป็นที่ยกย่องของคนทั่วไป ในขณะที่การโกหกเป็นที่เกลียดชัง คุณค่าทางคุณธรรมที่เหมือนกันนี้ (ความเข้่าใจเหมือนกันทั่วโลกถึงสิ่งทีุ่ถูกและผิด) ชี้ให้เห็นถึงผู้มีุคุณธรรมสูงสุดผู้ใส่ความรู้สึกละอายไว้ในเรา

ในทำนองเดียวกัน ไม่ว่าขนบธรรมเนียมประเพณีของคนทั่วโลกจะเป็นอย่างไร ผู้คนจะสร้างระบบการนมัสการขึ้นมาอยู่เสมอ สิ่งที่พวกเขานมัสการอาจไม่เหมือนกัน แต่ความรู้สึกถึงพลังที่มาจากเบื้องบนเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ที่เราปฏิเสธไม่ได้ ความอยากนมัสการของเราเกิดขึ้นตามความจริงที่ว่าพระเจ้าทรงสร้างเราขึ้นมาตามพระฉายของพระองค์” (ปฐมกาล 1:27)

พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เองต่อเราผ่านทางพระวจนะของพระองค์ (พระคัมภีร์) ด้วยเช่นกัน ตลอดทั่วทั้งพระคัมภีร์ การดำรงอยู่ของพระเจ้าถูกพิจารณาว่าเป็นความจริงโดยประจักษฺ์พยานในตัวของ มันเอง (ปฐมกาล 1:1; อพยพ 3:14) เมื่อ เบนจมิน แฟรงคลิน เขียน อัตชีวประวัติ ของเขา เขาไม่ได้เสียเวลาพยายามพิสูจน์เลยว่าเขามีตัวตน เช่นเดียวกัน พระเจ้าทรงไม่ได้ใช้เวลามากนักพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงมีตัวตนในหนังสือของ พระองค์ คุณสมบัติของพระคัมภีร์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนได้, คุณธรรมในนั้น และการอัศจรรย์ที่ีมีปรากฎอยู่ ควรเพียงพอที่จะรับประกันให้ผู้อ่านตรวจสอบให้ชัดเจนยิ่งขึ้นได้

ทางที่สามที่พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เองก็คือโดยทางพระบุตร (พระเยซูคริสต์) (ยอห์น 14:6-11) “ในเริ่มแรกนั้นพระวาทะทรงเป็นอยู่แล้ว และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า พระวาทะได้ทรงสภาพของเนื้อหนัง และทรงอยู่ท่ามกลางเรา (และเราทั้งหลายได้เห็นสง่าราศีของพระองค์ คือสง่าราศีอันสมกับพระบุตรองค์เดียวที่บังเกิดจากพระบิดา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง” (ยอหฺ์น 1:1, 14) ในพระเยซูคริสต์สภาพของพระเจ้าดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์” (โคโลสี 2:9)

ในชีวิตที่แสนอัศจรรย์ของพระเยซู พระองค์ทรงรักษากฎบัญญัติทั้งหมดในพันธสัญญาเดิมไว้ได้อย่างไม่มีขาดตก บกพร่อง และทรงทำให้คำเผยพระวจนะเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ (มัทธิว 5:17) สำเร็จเป็นจริง พระองค์ทรงทำพระราชกิจแห่งความเมตตาสงสารและการอัศจรรย์มากมายนับไม่ถ้วนต่อ หน้าฝูงชนเป็นจำนวนมาก เพื่อพิสูจน์สิ่งที่พระองค์ตรัส และเป็นพยานถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ (ยอห์น 21:24-25) ต่อจากนั้น สามวันหลังจากที่ทรงถูกตรึงบนกางเขน พระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ มีคนเป็นร้อย ๆ เห็นสิ่งเหล่านี้กับตาและสามารถยืนยันข้อเท็จจริงนี้ได้ (1 โครินธ์ 15:6) หลักฐานทางประวัติศาสตร์มี ข้อพิสูจน์มากมายว่าพระเยซูคือใคร ดังที่อัครสาวกเปาโลได้กล่าวไว้ การเหล่านั้นมิได้กระทำกันในที่ลับลี้” (กิจการ 26:26)

เรารู้ว่าจะต้องมีคนขี้สงสัยผู้ที่มีความคิดเป็นของตนเองเกี่ยวกับพระเจ้่า ติดตามอ่านหลักฐานเหล่านี้อยู่ และจะมีบางคนที่ไม่ว่าจะมีหลักฐานแค่ไหนเขาก็ไม่มีวันจะเปลี่ยนใจ (สดุดี 14:1) ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับความเชื่อเท่านั้น (ฮีบรู 11:6).

--
http://www.gotquestions.org/Thai/Thai-is-God-real.html