Miscellaneous Information About The Bible



It has been reported for about 50 years that the Bible has been the largest seller of all books published in the history of the world.
The Bible was written by about 40 men in about 1600 years, dating from 1500 B.C. to about 100 A.D.  These men wrote as they were moved by the Holy Spirit (2 Pet. 1:21).  They wrote not in words of human wisdom but in words taught by the Holy Spirit (1 Cor. 2:13).


English Bible

  • The first translation of the English Bible was initiated by John Wycliffe and completed by John Purvey in A.D. 1388.
  • The first American edition of the Bible was perhaps published some time before A.D. 1752.
  • The Bible has been translated in part or in whole as of 1964 in over 1,200 different languages or dialects.
  • The Bible was divided into chapters by Stephen Langton about A.D. 1228.
  • The Old Testament was divided into verses by R. Nathan in A.D. 1448 and the New Testament by Robert Stephanus in A.D. 1551.
  • There are 66 books in the Bible, 39 in the OT and 27 in the New. (Note: 3 x 9 = 27).
  • The OT has 929 chapters and 23,214 verses. The NT has 260 chapters and 7,959 verses.
  • In the OT, the longest book is Psalms.  The shortest book is Obadiah.
  • In the NT, the longest book is Acts. The shortest is 3 John.
  • The word "God" occurs 4,379 times. The word "Lord" occurs 7,738 times.
  • Isaiah is referenced 419 times in 23 NT books; Psalms 414 times in 23 books; Genesis 260 times in 21 books.

 

Unusual things in the Bible

  • Methuselah, who lived to be 969 years old (Gen. 5:27).
  • Sons of God married the daughters of men (Gen. 6:2).
  • Baby had a scarlet thread tied around its hand before it was born (Gen. 38:28-29).
  • Battle won because a man stretched out his hand (Exodus 17:11).
  • Man was spoken to by a donkey (Num. 22:28-30).
  • One who had a bed 13 feet long and 6 feet wide (Deut. 3:11).
  • The women who had to shave their heads before they could marry (Deut. 21:11-13).
  • Sun stood still for a whole day (Josh. 10:13).
  • An army with 700 left-handed men (Judges 20:16).
  • Man whose hair weighed about 6 pounds when it was cut annually (2 Sam. 14:26).
  • Man who had 12 fingers and 12 toes (2 Sam. 21:20).
  • Father who had eighty-eight children (2 Chron. 11:21).
  • The sun traveled backward (Isaiah 38:8).
  • A harlot was an ancestor of Christ (Matt. 1:5).

This article is also available in: Español, Indonesia

-------------
http://www.carm.org/miscellaneous-information-about-bible

หน้าที่ของพระเจ้าและของเราในการเปลี่ยนแปลงตนเอง



กาลาเทีย 5:22-23  “ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น   คือความรัก   ความปลาบปลื้มใจ   สันติสุข   ความอดกลั้นใจ   ความปรานี   ความดี   ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม   การรู้จักบังคับตน   เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย”     คุณสมบัติเก้าอย่างนี้อธิบายถึงลักษณะคริสเตียนที่เกิดผล ... แล้วเราจะมีคุณสมบัตินิสัยเหล่านี้ได้อย่างไร ? เห็นได้ชัดว่า ไม่ใช่แค่พระเจ้าเติมพลังให้ผมแค่วันเดียว แล้วจู่ ๆ คุณสมบัติเหล่านี้ก็งอกขึ้นมาภายใน 1 นาที  ตรงกันข้าม  พระองค์ใช้กระบวนการของพระองค์ วิธีการของพระองค์เพื่อให้เราเติบโต ... ท่านเปาโลได้สอนพวกเราถึงกระบวนการการเปลี่ยนแปลงและเติบโตฝ่ายวิญญาณ

ฟีลิปปี 2:12-13  เหตุฉะนี้  พวกที่รักของข้าพเจ้า   เมื่อท่านเชื่อฟังทุกเวลาฉันใด   ท่านทั้งหลายจงอุตส่าห์ประพฤติ   เพื่อให้ได้ความรอด   ด้วยความเกรงกลัวและตัวสั่นฉันนั้น   มิใช่เฉพาะเมื่อข้าพเจ้าอยู่กับท่านเท่านั้น   แต่จงยิ่งประพฤติให้มากขึ้น   ในเมื่อข้าพเจ้าไม่อยู่ด้วย เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่าน   ให้ท่านมีใจปรารถนา   ทั้งให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์

ฟังแล้วดูเหมือนจะขัดแย้งกัน เพราะในพระคัมภีร์สอนว่า “เราได้รับความรอดเนื่องจากพระคุณและความเชื่อ ไม่ใช่การทำงานหนัก”

ฉบับ 2002 --- ท่านจงประพฤติจนบรรลุถึงความเติบโต [ ภาษากรีกแปลว่า จนบรรลุถึงความรอด ]
ESV 2001 --- Work out your own salvation. (ออกกำลังกาย , ฝึกฝนร่างกาย)
NLT 2004 --- Work hard to show the results of your salvation.

ดังนั้น พระคัมภีร์ในข้อนี้ หมายถึง “การฝึกฝน” หรือ “การออกกำลังกายฝ่ายวิญญาณ” นั่นเอง

ในการออกกำลังกาย เราพัฒนา เพาะกล้ามเนื้อ ให้ร่างกายแข็งแรง ... การฝึกฝนหมายถึง การเพาะ พัฒนา การใช้ประโยชน์สูงสุดจากสิ่งที่ได้รับมา  ... นี่แหละ ที่ท่านเปาโลพูดถึงในที่นี้ คือให้พัฒนาชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของเรา

พระเจ้ามีส่วนต่อการเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณของเรา และตัวเราเองก็มีส่วนด้วย พระองค์ให้พลัง แต่เราต้องเปิดสวิทช์  จงฝึกฝนความรอดของเรา เพราะพระเจ้าเป็นผู้ทำงานในเรา




เครื่องมือที่พระเจ้าใช้

1. พระวจนะของพระองค์ - พระองค์ทรงสอนวิธีดำเนินชีวิตแก่เราผ่านถ้อยคำของพระองค์

(2 ทิโมธี 3:16-17 พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การแก้ไขสิ่งผิด และการอบรมในความชอบธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะมีความสามารถและพรักพร้อมเพื่อการดีทุกอย่าง)

พระคัมภีร์ได้เปลี่ยนชีวิตเราไหม...พระวจนะของพระเจ้าได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของคนมากมายทั่วโลก
ถ้าเราอยากเปลี่ยนชีวิตตัวเองจริง ๆ เราก็ต้องอ่านพระคัมภีร์  เราต้องอ่าน ศึกษา ใคร่ครวญ และนำมาใช้
ผมเคยได้ยินหลายคนบ่นกับผมว่า ความเชื่อของพวกเขาไม่เข้มแข็ง  ฉันยังไม่พร้อม  ฉันยังไม่ดีพอ ชีวิตของฉันไม่เลี่ยนแปลง ...ฯลฯ

ผมจะถามว่า “คุณอ่านพระคัมภีร์เป็นประจำหรือเปล่าล่ะ?”..."ไม่เลย"..."แล้วศึกษาพระคัมภีร์บ้างไหมล่ะ”...."ก็ไม่ได้ทำ"..."แล้วท่องข้อพระคัมภีร์บ้างไหม ?”..."เปล่า ไม่มีเวลา” .......... “อ้าว ! ถ้างั้นความเชื่อของคุณจะเติบโตได้ยังไง ?”

2. พระเจ้าใช้พระวิญญาณของพระองค์ – เมื่อเราอุทิศตัวแด่พระคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้ามาในชีวิตเราเพื่อเสริมกำลังและนำทางเรา

(โรม 8:9-11 ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในพวกท่านแล้ว ท่านก็ไม่อยู่ในเนื้อหนัง แต่อยู่ในพระวิญญาณ ใครไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ คนนั้นก็ไม่เป็นของพระองค์ และถ้าพระคริสต์อยู่ในท่านทั้งหลายแล้ว ถึงแม้ว่าร่างกายของท่านจะตายไปเพราะบาป แต่วิญญาณจิตของท่านก็จะดำรงอยู่เพราะความชอบธรรม ถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากตาย สถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย พระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากตายแล้วนั้น จะทรงทำให้กายซึ่งต้องตายของพวกท่านเป็นขึ้นมาใหม่ โดยพระวิญญาณของพระองค์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน)
พระเจ้าวิญญาณบริสุทธิ์ให้กำลังใหม่ ความกระฉับกระเฉง ความปรารถนา และพลังที่จะทำสิ่งถูกต้องแก่เรา  เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานในเรา เราก็เป็นเหมือนพระองค์มากขึ้นเรื่อย ๆ

            จุดประสงค์แรกของพระเจ้าในชีวิตของเราคือ ทำให้เราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์...พระวิญญาณของพระเจ้าใช้ถ้อยคำของพระองค์ทำให้ลูก ๆ ของพระองค์เป็นเหมือนพระบุตรของพระองค์มากขึ้น แล้วพระเยซูเป็นยังไงหรือ ? ชีวิตพระองค์บนโลกนี้ประมวลไว้ซึ่งผลพระวิญญาณทั้งเก้าอย่าง ได้แก่ ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดทน ความกรุณา ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพ และการรู้จักบังคับตน

3. พระเจ้าใช้สถานการณ์ต่าง ๆ – วิธีที่ดีเลิศอีกวิธีหนึ่งในการปรับเปลี่ยนเราคือ ให้เราอ่านพระคัมภีร์ เพื่อค้นหาว่า เราควรดำเนินชีวิตอย่างไร และจากนั้นพึ่งพระวิญญาณของพระองค์ที่อยู่ในเราเพื่อช่วยให้เราทำได้ แต่น่าเสียดายที่พวกเราส่วนใหญ่หัวแข็ง และไม่ยอมเปลี่ยนตามง่าย ๆ ...พระเจ้าจึงต้องใช้เครื่องมือที่ 3 เข้ามาช่วย คือ สถานการณ์ ... สถานการณ์นี้หมายถึง ปัญหาและแรงกดดัน เรื่องปวดร้าวใจ ความยุ่งยากลำบาก และความเครียด เพราะสิ่งเหล่านี้มักกระตุ้นความสนใจของเราได้ดี

โรม 8:28-29 ฉบับขยายความ – สำหรับผู้ที่รักพระเจ้า ผู้ที่พระเจ้าเรียกตามแผนการของพระองค์ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจะพอเหมาะพอดีกับรูปแบบที่เตรียมไว้ เพื่อให้เกิดผลดี  เพราะพระเจ้าทรงเลือกเขาเหล่านั้นเพื่อให้คงลักษณะที่เหมือนพระบุตรของพระองค์ไว้ในครอบครัว

ไม่มีอะไรเข้ามาในชีวิตของผู้เชื่อได้ ถ้าพระบิดาในสวรรค์ไม่อนุญาต ...ทุกอย่างต้องได้รับการกลั่นกรองจากพระบิดาเสียก่อน ... บางครั้งเรามักหาเรื่องใส่ตัวเองบ่อย ๆ การตัดสินใจที่ผิด ๆ คิดผิด หรือบาปของตัวเราเอง หรือบางครั้งความเดือดร้อนของเราอาจเกิดจากคนอื่นก็ได้ หรือบางทีวิญญาณชั่วก็หาเรื่องให้เราอย่างที่มันทำกับโยบ ... แต่ไม่ว่าสถานการณ์แบบไหนก็ตาม จะดี หรือร้าย พระเจ้าจะใช้สถานการณ์นั้น ๆ ในชีวิตของเรา พระเจ้าจะจัดการให้เป็นไปตามแผนการของพระองค์  เพื่อให้เราทุกคนเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์นั่นเอง

ฉะนั้น ทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต เราสามารถเรียนรู้จากมันได้ ขอเพียงแต่ให้เรามีทัศนคติที่ถูกต้องเท่านั้น

สุภาษิต 20:30 - การเฆี่ยนที่ให้เป็นบาดแผล  ก็ชำระความชั่วเสีย  การโบยตีกระทำให้ส่วนลึกที่สุดสะอาดสะอ้าน

บางทีเราได้รับประสบการณ์ในข้อนี้แล้ว   บางทีพระเจ้าใช้ประสบการณ์ที่เจ็บปวดจึงจะทำให้เราปรับเปลี่ยนอะไร ๆ ที่ทำอยู่ได้ พูดอีกอย่างคือ ถ้าไม่เกิดอะไรที่สุด ๆ ก็คงไม่ยอมเปลี่ยน ... “ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา”

            พระเจ้าตรัสกับเราผ่านพระคัมภีร์ และเร้าใจเราโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ถ้าเรายังไม่สนใจพระองค์อีก  พระองค์ก็จะใช้สถานการณ์ร่วมด้วย จนกว่าเราจะเชื่อฟังพระองค์จนได้

พระเจ้าสามารถใช้ทุก ๆ สถานการณ์ในชีวิตเพื่อช่วยให้เราเติบโตได้ นี่คือหน้าที่ของพระองค์ แล้วหน้าที่ของเราล่ะ เราต้องทำอะไรบ้าง ?



การเลือกที่นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง

1. เราต้องเลือกคิด – การเติบโตฝ่ายวิญญาณไม่ได้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เราต้องเลือก จะเอาแต่นั่งเฉย ๆ ไม่ทำอะไร...ก็คงจะเติบโตไม่ได้

สุภาษิต 4:23 - จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้าน เพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ 
หมายความว่า ถ้าอยากเปลี่ยนชีวิต เราต้องเปลี่ยนวิธีคิด การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นมาจากความคิดใหม่ ๆ เสมอ

            เราเป็นคริสเตียนได้อย่างไร ?...ก็โดยการกลับใจใหม่ ... กลับใจใหม่ ในภาษากรีกคือ metanoia แปลว่า เปลี่ยนใจ เปลี่ยนมุมมอง...เมื่อผมเป็นคริสเตียน ผมเปลี่ยนมุมมองหลายอย่าง

            พระคัมภีร์สอนเราว่า “วิธีคิด – (กำหนด) - ความรู้สึก – (กำหนด) – สิ่งที่เรากระทำ” ...ฉะนั้นถ้าเราอยากเปลี่ยนการกระทำ เราต้องกลับไปที่ต้นตอและเปลี่ยนวิธีคิด...บางครั้งเราแสดงความไม่พอใจ (เพราะ) รู้สึกไม่พอใจ (เพราะ) เราคิดถึงเรื่องที่สร้างความขุ่นเคืองใจ ความโกรธ และความวิตกกังวล ...

            ความจริงคือ  การพยายามบังคับตัวเองให้เปลี่ยนโดยใช้พลังความตั้งใจอย่างเดียว มักจะไม่ค่อยได้ผลในระยะยาว แต่เราสามารถเปลี่ยนชีวิตได้โดยการปรับเปลี่ยนความคิด อย่าจดจ่อที่การกระทำ อย่าจดจ่อที่ความรู้สึก ...คนเรามักพูดบ่อย ๆ ว่า “ฉันจะเป็นคนที่มีความรักมากขึ้น” หรือ “ฉันคงมีความสุข ถ้าฉันได้ฆ่ามัน” ...การฝืนความรู้สึกจะไม่ได้ผล แต่ให้จดจ่อที่การเปลี่ยนความคิด...

ยอห์น 8:32 - พระเยซูตรัสว่า “และท่านทั้งหลายจะรู้จักสัจจะ   และสัจจะจะทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท”

เมื่อชีวิตของเราอยู่บนพื้นฐานของความจริง  มีความคิดที่ถูกต้อง ความเชื่อที่ถูกต้องจากพระคัมภีร์ เราก็เป็นอิสระ และจะพบว่า นิสัยเก่า ๆ ความรู้สึกเก่า ๆ หรือการกระทำเก่า ๆ ค่อย ๆ หลุดร่วงไป ... พระเจ้าให้พระคำแก่เรา เราต้องอ่านและใคร่ครวญอยู่เสมอ

โคโลสี 3:16 – จงให้พระวจนะของพระคริสต์อยู่ในพวกท่านอย่างบริบูรณ์ ... เราต้องใช้เวลากับพระคัมภีร์เสมอ จัดเวลาในการอ่าน ใคร่ครวญ และนำบทเรียนจากพระคำตอนนั้นมาใช้ในชีวิตของเรา

2. พึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ – คริสเตียนแท้ทุกคนมีพระวิญญาณของพระเจ้าในชีวิต...แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ดำเนินชีวิตฤทธิ์เดช

ยอห์น 15:5 - เราเป็นเถาองุ่น   ท่านทั้งหลายเป็นแขนง   ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา   ผู้นั้นก็จะเกิดผลมาก   เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย ... แขนงขึ้นอยู่กับเถาองุ่นใหญ่อย่างสิ้นเชิง มันออกผลเองไม่ได้ การเกิดผลเป็นเรื่องภายใน  ... ผลที่เกิดขึ้นในชีวิตคริสเตียนนั้น เป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ฉะนั้นจึงต้องออกมาจากภายใน...แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราอยู่ในพระคริสต์...จะรู้ได้อย่างไรว่ากำลังพึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์...

ง่ายนิดเดียว...ก็ดูชีวิตการอธิษฐานของเรานั่นเอง...การอธิษฐานแสดงให้เห็นว่าเราพึ่งพระเจ้าหรือเปล่า

เราอธิษฐานเรื่องอะไร แสดงว่าเราพึ่งพระเจ้าในเรื่องนั้น...เรื่องใดก็ตามที่เราไม่อธิษฐาน ก็แสดงว่าเรากำลังพยายามทำด้วยตนเอง...การพึ่งพระวิญญาณก็คือ อธิษฐานตลอดเวลา ถึงเรื่องการตัดสินใจ  ความต้องการ  ความสนใจ ตารางเวลา  ปัญหาชีวิต  การค้าขาย ... ทุกเรื่อง... เมื่ออธิษฐานเราจะเริ่มเห็นผลของพระวิญญาณเกิดขึ้นในชีวิต

3. การตอบสนองที่ถูกต้องต่อสถานการณ์ต่าง ๆ – เราไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างในชีวิตได้ เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันพรุ่งนี้ แต่เราควบคุมได้ว่าจะตอบสนองต่อมันได้อย่างไร ...เราควบคุมได้ว่าสถานการณ์นั้น ๆ จะทำให้เราเจ็บปวดหรือทำให้เราเติบโตขึ้น

ท่านเปาโลได้กล่าวถึงเรื่องนี้  โรม 5:3-4 - ยิ่งกว่านั้น   เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากของเราด้วย   เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้น   ทำให้เกิดความอดทน และความอดทนทำให้เห็นว่าเราเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้   และการที่เราเห็นเช่นนั้นทำให้เกิดมีความหวังใจ   พระเจ้ายังใช้สถานการณ์ในชีวิตที่คนอื่นมุ่งร้ายต่อเราด้วย นี่เป็นบทเรียนที่ได้จากชีวิตของโยเซฟ ...โยเซฟถูกพี่ชายหักหลังและขายไปเป็นทาส ถูกจับขังคุก ... สุดท้ายเขากล่าวกับพวกพี่ชายของเขาว่า

ปฐก.50:20 “พวกท่านคิดร้ายต่อเราก็จริง   แต่ฝ่ายพระเจ้าทรงดำริให้เกิดผลดีอย่างที่บังเกิดขึ้นนี้แล้ว   คือช่วยชีวิตคนเป็นอันมาก” ...บางครั้งชีวิตของเราก็เป็นแบบนี้เช่นกัน ให้เราเชื่อวางใจในพระเจ้า ถ้าเรามอบให้พระเจ้าทรงนำ พระเจ้าสามารถทำให้สถานการณ์ที่เจ็บปวดนั้นเพื่อผลดีได้  พระองค์จะสร้างลักษณะนิสัยที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้นในเรา นี่คือเรื่องผลของพระวิญญาณ

            เมื่อพระเจ้าสร้างมนุษย์ พระเจ้าสร้างตามพระฉายของพระองค์ นี่เป็นแผนการดั้งเดิมของพระเจ้า และแผนการนี้ยังไม่เปลี่ยนแปลง ... พระเจ้าอยากให้เราเหมือนพระองค์...ไม่ใช่เป็นพระเจ้า...แต่เป็นคนที่มีลักษณะนิสัยเหมือนพระเจ้า

“พระเจ้าผลิตผลของพระวิญญาณขึ้นในเรา โดย ยอมให้เราพบกับสถานการณ์และคนที่ไม่มีผลของพระวิญญาณ”

เช่น พระเจ้าสร้างความรักในชีวิตเราได้อย่างไร ? การรักคนน่ารักย่อมทำได้ง่าย แต่การสอนให้เรารู้จักความรักที่แท้จริงของพระเจ้า พระเจ้าจะนำเราไปอยู่ท่ามกลางคนที่ไม่น่ารักเลย  เราเรียนรู้จักความรักของพระเจ้า โดยให้ความรักแก่คนเจ้าอารมณ์  หรือเพื่อนบ้านที่น่ารำคาญ ... พระเจ้าสอนให้เราฝึกรัก “คนไม่น่ารัก” นั่นเอง

4. ใช้เวลา – กว่าผลจะสุก ย่อมต้องใช้เวลา เป็นไปไม่ได้ที่มันจะสุกภายใน 1 นาที  เช่นกัน การเกิดผลฝ่ายวิญญาณก็ต้องใช้เวลา  เวลาเป็นสิ่งสำคัญ...ถ้าเราพยายามบ่มหรือเร่งให้ผลไม้ให้สุกเร็ว ๆ มันก็จะไม่อร่อย และพระเจ้าก็ต้องใช้เวลารอให้ผลฝ่ายวิญญาณในชีวิตคุณสุกงอมเช่นกัน

เราอาจเริ่มบอกพระเจ้าตั้งแต่เดี๋ยวนี้ว่า เราอยากเป็นคริสเตียนที่เกิดผลบริบูรณ์  เราอยากร่วมมือกับแผนการของพระองค์  อุทิศตัว อ่าน ศึกษา ท่องจำ ใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า  ขอพระเจ้าใช้พระคำเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา  จำนนต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้มีอำนาจเด็ดขาดในชีวิตของเรา อย่ากักเก็บอะไรไว้ อธิษฐานและพูดคุยกับพระเจ้าทุกเรื่อง  ให้เรายอมรับแผนการของพระเจ้าที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา  พระเจ้าต้องการผลิตผลฝ่ายวิญญาณขึ้นในชีวิตของเรา ให้เราร่วมมือและยอมจำนนต่อพระองค์เถิด

------------
สรุปจากหนังสือ "พลังแห่งชีวิต" หน้า 25-45  เขียนโดย  ริค วอร์เร็น

อยู่อย่างสันติในโลกเครียด ๆ


 “ยอห์น.14:27 --- เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย   สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น   เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้   อย่าให้ใจของท่านวิตก   และอย่ากลัวเลย”
ใคร ๆ ก็อยากมีความสุขกันทั้งนั้น เช่น นักธุรกิจ พ่อค้า แม่ค้า นักศึกษา นักเรียน  ทุก ๆ คนต่างก็อยากมีความสุขทั้งนั้น  แต่แปลกตรงที่เราอาจพบความเครียดมากกว่าความสุข  บางครั้งเครียดมากจนเราต้องพูดว่า

- ฉันไม่เอาอะไรซักอย่างแล้ว / จบกัน / ฉันมันก็แค่... / ฉันจนปัญญา / อยากหนีไปไกล ๆ / อยากลาออก ...ฯลฯ

บางครั้งเราบ่นแบบนี้บ่อยมากจนกลายเป็นกิจวัตร


ความเครียดคือ ความจริงอันเลวร้ายของชีวิตในโลกปัจจุบัน  ใคร ๆ ก็อยู่ภายใต้ความเครียดกันทั้งนั้น  ยาพาราขายดีมาก (อะไร ๆ ก็กินยาพารา  รักษาได้ทุกโรค) ยากล่อมประสาทก็ขายดี  และหนังสือที่พูดถึงเรื่องความสุขก็เริ่มขายดี (7-11 มีเยอะ)  มีคำกล่าวไว้จนติดหูว่า “เครียดมากก็ไม่ดี” ...ทุกคนก็รู้ว่าไม่ดี  รู้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว  กษัตริย์ซาโลมอนก็เขียนไว้ว่า

สุภาษิต 17:22: ใจร่าเริงเป็นยาอย่างดี แต่จิตใจที่หมดมานะทำให้กระดูกแห้ง
พระคัมภีร์พูดเรื่องความเครียดไว้มาก แต่ในขณะเดียวกันก็พูดเรื่องการคลายเครียด หรือ สันติสุขในจิตใจด้วย

พระคัมภีร์กล่าวถึง การมีสันติสุขในฝ่ายจิตวิญญาณ คือมีสันติสุขกับพระเจ้า

โรม 5:1 เหตุฉะนั้น   เมื่อเราได้เป็นคนชอบธรรมเพราะความเชื่อแล้ว   เราจึงมีสันติสุขในพระเจ้า   ทางพระเยซูคริสตเจ้าของเรา

นี่คือรากฐานของสันติสุข  เราต้องมีสันติสุขกับพระเจ้าก่อน จึงจะมีสันติสุขแบบอื่น ๆ ได้   ผมหวังว่าทุกคนพบกับสันติสุขนี้แล้ว (หากท่านมีความเชื่อแท้) มีวิธีเดียวที่จะได้สันติสุขนี้มา คือความเชื่อในพระเยซูคริสต์  เมื่อเรามีสันติสุขในจิตใจแล้ว จากนั้นเราจึงมีสันติสุขในอารมณ์ของตนเองด้วย

“คส.3:15 จงให้สันติสุขของพระคริสต์ครองจิตใจของท่าน”  แม้ในยามที่ทุกสิ่งดูสับสนวุ่นวาย  บางครั้งเมื่อเรานอนลงจะหลับ แต่ความคิดกลับไม่ยอมหยุด คิด ๆ ๆ   ถ้าไม่มีสันติสุขในอารมณ์ ความคิดของเราก็ยังคงวิ่งไปวิ่งมา  บางทีร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าเสียงดัง ร้องเพลง  หน้าตายิ้มแย้ม  แต่ความเครียดก็ยังวนเวียนอยู่ในความคิด  ดังนั้นเราจำเป็นต้องมีสันติสุขในจิตวิญญาณและอารมณ์ของตนเองด้วย   นอกจากนี้แล้วเรายังต้องมีสันติสุขในด้านความสัมพันธ์ หรือ สันติสุขกับผู้อื่นด้วย

 “โรม 12:18 จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน” สันติสุขด้านความสัมพันธ์นี้ช่วยลดความขัดแย้งได้  ในบางครั้งความสัมพันธ์ก็เป็นต้นตอของความเครียดได้ เช่น การเข้ากับเพื่อนร่วมงาน  เจ้านาย  ครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนที่ รร  เราต้องจัดการความขัดแย้ง การแข่งขัน  และคำวิพากวิจารณ์อยู่เสมอ  สิ่งเหล่านี้อาจปล้นสันติสุขออกไปจากเราได้   แต่เราจะพบสันติสุขนั้นได้จริง ๆ หรือ ?  แล้วทำอย่างไรจะมีสันติสุข ?

 ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจในพระสัญญาเรื่องสันติสุขของพระเจ้าก่อน “ยน.14:27 --- เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย   สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น   เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้   อย่าให้ใจของท่านวิตก   และอย่ากลัวเลย”

พระคัมภีร์บอกอย่างชัดเจนว่า สันติสุขนี้พระเยซูเป็นผู้ “มอบ”ให้  เราไม่สามารถทำงานเพื่อให้ได้มา  เราไม่อาจหลอกตัวเองให้มีสันติสุขได้  ไม่อาจพากเพียรไขว่คว้า(สันติสุขแท้)จากที่อื่นได้ แต่เป็นสิ่งที่เราได้รับมาเฉย ๆ เป็นสันติสุขที่ไม่เหมือนโลกให้   สันติสุขของโลกเป็นสิ่งชั่วคราวเท่านั้น  ที่สำคัญสันติสุขของพระเจ้าไม่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์  สันติสุขของพระเจ้าทำให้จิตใจของเราสงบได้แม้ท่ามกลางปัญหา  ทีนี้เราจะได้สันติสุขนี้ได้อย่างไร


มี 5 ประการ ที่นำมาซึ่งสันติสุขแท้จากพระเจ้า

1. เชื่อฟังหลักการของพระเจ้าในพระคัมภีร์ คือ แค่ทำตามที่พระคัมภีร์บอก
(สดด199:165,167--- บุคคลเหล่านั้นที่รักพระธรรมของพระองค์มีสันติภาพใหญ่ยิ่ง ไม่มีสิ่งใดกระทำให้เขาสะดุดได้...จิตใจของข้าพระองค์ปฏิบัติตามบรรดาพระโอวาทของพระองค์  ข้าพระองค์รักพระโอวาทนั้นมากยิ่ง) ดังนั้นสันติสุขเกิดขึ้นเมื่อเรามีชีวิตติดสนิทกับพระเจ้า และทำตามที่พระองค์บอกให้ทำ

ตัวอย่างเช่น เหมือนเมื่อเราซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ผู้ผลิตก็จะมีคู่มือบอกวิธีการใช้ให้ถูกต้อง  เพื่อจะได้ยืดอายุการใช้งาน    ชีวิตของเราก็เช่นกัน ผู้ผลิตคือพระเจ้า และมีคู่มือการใช้ชีวิต ก็คือพระคัมภีร์   ดังนั้นพระคำของพระเจ้าคือคู่มือสำหรับการดำเนินชีวิตของเราในทุกๆ ด้าน     ถ้าเราเพิกเฉยไม่เชื่อฟัง เราก็ไม่มีสันติสุข   ดังนั้นให้เราดำเนินชีวิตตามคู่มือของพระเจ้า

2. ยอมรับการอภัยจากพระเจ้า 
  ความรู้สึกผิดเป็นตัวที่ทำลายสันติสุขมากที่สุดอันหนึ่ง  เมื่อรู้สึกผิด  เราถูกเรื่องราวในอดีตตามมาหลอกหลอน มีรากขมขื่น ซึมเศร้า เหมือนตกนรกทั้งเป็น   วิธีที่จะทำให้มีสันติสุขในใจได้ก็คือ การมีจิตสำนึกใสสะอาด  และมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ให้สิ่งนี้ได้  (มีคาห์ 7:18 ใครเล่าจะเป็นพระเจ้าเสมอเหมือนพระองค์ผู้ทรงยกโทษ และทรงให้อภัยการทรยศ แก่คนที่เหลืออยู่อันเป็นมรดกของพระองค์  พระองค์มิได้ทรงถือพระพิโรธเนืองนิตย์ เพราะว่าพระองค์ทรงพอพระทัยในความรักมั่นคง)  พระคัมภีร์ตอนนี้บอกเราว่า พระเจ้าเต็มใจที่จะชำระบาปของเรา  และ 1 ยน 1:9 “ถ้าเราสารภาพบาปของเราพระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น”  พระเจ้าพร้อมที่จะอภัยเสมอ  ถ้าเรายังมีรากขมขื่น  อดีตที่หลอกหลอน  หรือรู้สึกผิดกับบางสิ่งที่ทำให้เครียด  จัดการเลยครับ

3.จดจ่อว่าพระเจ้าอยู่กับเราเสมอ ถ้าต้องการสันติสุข เราต้องรู้ว่าพระเจ้าอยู่กับเราเสมอ  และถ้าเราไม่เคยตระหนักเช่นนี้ เราก็ต้องฝึกรับรู้ถึงการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า 1ยอห์น 3:24:ทุกคนที่ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ก็อยู่ในพระองค์   และพระองค์ทรงสถิตอยู่ในคนนั้น   เหตุฉะนี้เราจึงรู้ว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเราคือโดยพระวิญญาณ   ซึ่งพระองค์ทรงโปรดประทานแก่เรา  เราเลือกได้ว่าเราจะจดจ่อที่ปัญหาหรือจดจ่อที่พระเจ้า   ถ้าเรามองโลกรอบ ๆ ตัวเราจะทุกข์ใจ  ถ้ามองตัวเองก็จะหดหู่  แต่ถ้ามองดูที่พระเจ้า เราจะได้พักสงบ  สิ่งที่เราสนใจเป็นตัวกำหนดว่าเรามีสันติสุขมากน้อยแค่ไหน  ให้จดจ่อถึงการสถิตอยู่ของพระเจ้า  พระองค์อยู่ภายในเรา และสัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้งเรา  ในตัวของเรามีสัญญาณอย่างหนึ่งที่คอยเตือนเรา ก็คือ ความเครียดนั่นเอง  การเริ่มรู้สึกเครียดเป็นตัวชี้ว่า เราได้ละสายตาไปจากพระเจ้า ไปจดจ่อที่ปัญหา  เวลาเรามองปัญหาเราก็เครียด  เราต้องจำไว้ว่า ความเครียดเป็นวิธีการที่พระเจ้าเตือนให้เรามองที่พระองค์  สดด 46:10 จงนิ่งเสียและรู้เถิดว่าเราเป็นพระเจ้า  (ภาษาฮีบรูคือ "ปล่อยวาง ผ่อนคลาย”)  เนื่องจากปัญหาของเรามาจากการที่เรานั่งเฉย ๆ ไม่ได้   ทุกครั้งที่เรารู้สึกเครียด ลองนิ่ง ให้ใจของเราได้พักผ่อน เพราะการรีบเร่งนำไปสู่การสูญเสียมากกว่าผลดี

4.วางใจในพระประสงค์ของพระเจ้า  แม้ในขณะที่หลายอย่างดูไม่เข้าท่า แต่เราต้องวางใจในพระประสงค์ของพระเจ้า  สุภาษิต 3:5-6 จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น   พระคัมภีร์ตอนนี้บอกให้เรา ไว้วางใจ และเมื่อเราวางใจ พระเจ้าจะนำ   ... ทำไมเราต้องวางใจ  ...หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตของเราเราไม่สามารถควบคุมได้  แล้วจะทำอย่างไร? ก็ต้องวางใจ เพราะเราทำได้แค่นี้จริง ๆ  “อย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง” หมายถึง “อย่าพยายามหาคำตอบทุกอย่างให้ชีวิตด้วยตนเอง”  บ่อยครั้งที่เราพึ่งพาตนเอง  บางครั้งก็เสียเวลาและเสียพลังงานมากโดยเปล่าประโยชน์  เราพยายามแก้ปัญหาทุกอย่างตลอดเวลา  แต่พระเจ้าบอกให้เรา...ไว้วางใจในพระองค์เท่านั้น

ท่านเปาโลได้เรียนรู้บทเรียนนี้ และมีสันติสุขเพราะพระเจ้านำทางชีวิตของท่าน  แม้ถูกขังคุก ฟีลิปปี 4:12 ท่านยังเขียนว่า “ข้าพเจ้าได้เรียนรู้เคล็ดลับในการเผชิญความอิ่มท้องและความอดอยาก ความอุดมสมบูรณ์ และความขัดสนแล้ว” และท่านได้บอกถึงเคล็ดลับที่ท่านได้เรียนรู้ว่า ฟีลิปปี 4:13 “ข้าพเจ้าเผชิญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า”  เราเห็นได้ว่านี่เป็นสิ่งที่ท่านเปาโลได้เรียนรู้  โดยต้องไว้วางใจและยอมให้พระเจ้านำชีวิต ท่านมีสันติสุขที่แท้จริง

5.ขอสันติสุขของพระเจ้า  ถ้าเราอยากได้สันติสุขของพระเจ้า  เราต้อง “ขอ”  ฟีลิปปี 4.6-7 อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย   แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า   ด้วยการอธิษฐาน   การวิงวอน   กับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ   จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์   พระคัมภีร์ตอนนี้บอกเราอย่างชัดเจนตามลำดับคือ ต้องอธิษฐานก่อน จากนั้นจึงมีสันติสุข   เมื่อมีแรงกดดันเพิ่มขึ้น อย่าตื่นตระหนกตกใจ ...ให้อธิษฐาน! แล้วสันติสุขซึ่งเกินความเข้าใจจะเข้ามาในใจของเราอย่างอัศจรรย์  เมื่อแรงกดดันเพิ่มขึ้นและรู้สึกจะระเบิด  ให้เราเปลี่ยนความวิตกกังวลเป็นการอธิษฐาน 1 ปต. 5:7 จงละความกระวนกระวายของท่านไว้กับพระองค์   เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยท่านทั้งหลาย  จงวางมันไว้กับพระเจ้า! ถ้าเราระบายความเครียดกับใครบางคน  เขาอาจจะจะเครียดตามเราได้  แต่พระเจ้าจะไม่เครียดกับเรื่องของเรา  พระองค์รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเราอยู่แล้ว และยังไง ๆ พระเจ้าก็ยังรักเราอยู่ดี  และการอธิษฐานเป็นการบอกความในใจ  สิ่งที่รบกวนจิตใจของเราต่อพระเจ้า    ยน.14:1 พระเยซูตรัสว่า “อย่าให้ใจท่านทั้งหลายวิตกเลย   ท่านวางใจในพระเจ้า   จงวางใจในเราด้วย  ดังนั้น เราไม่มีทางที่จะพบสันติสุขแท้และยั่งยืนจนกว่าพระเยซูจะเข้ามาควบคุมชีวิตของเรา  จำไว้เสมอว่า “สันติสุขไม่ใช่ชีวิตที่ปราศจากปัญหา  แต่คือความรู้สึกสงบสุขท่ามกลางปัญหาร้ายในชีวิต”

ทุกวันนี้อะไรเป็นตัวที่ขัดขวางสันติสุขของเรา  หากเรารู้สึกผิดกับอะไรบางอย่างให้หันหน้าเข้าหาพระเจ้าและขอการยกโทษ  ความวิตกกังวล  การเงิน  การเรียน  การผ่าตัดไส้ติ่ง  หรือมีใครมาก่อกวน  อกหัก คนที่ยุ่งยาก  ฯลฯ ทั้งหมดนี้คุณคุยกับพระคริสต์ได้ทุกเรื่องที่รบกวนจิตใจคุณ

บางสิ่งเราสามารถเปลี่ยนได้  แต่บางสิ่งก็ยากเกินที่เราจะเปลี่ยนได้ด้วยกำลังของเราเอง

สิ่งใดที่เราเปลี่ยนได้ อธิษฐานขอความกล้าหาญ ขอให้พระเจ้านำเราที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้นให้ดีขึ้น

แต่สิ่งที่เราเปลี่ยนเองไม่ได้ ให้เราอธิษฐานขอพระเจ้าช่วยให้เรามีสันติสุขในใจให้ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น และมีความวางใจในพระองค์ และรอคอยให้พระเจ้าจัดการ

สิ่งที่วิเศษที่สุดจากคำอธิษฐานของเราก็คือ สันติสุข


-----------
สรุปจากหนังสือ "พลังเปลี่ยนชีวิต" หน้า 85-103 เขียนโดย ริค วอร์เรน

ความเชื่อยุคโบราณเกี่ยวกับโลก


คนในยุคโบราณก่อนที่จะมีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เชื่อว่าโลกถูกแบกโดยเต่าหรือช้าง และเชื่อว่าโลกมีสัณฐานแบน และถูกแบกไว้ด้วยยักษ์ที่ชื่อ Atlas


ตัวอย่างคนยุคโบราณที่มีชื่อเสียงที่เชื่อว่าโลกแบน เช่น อริสโตเติล (Aristotle) นักปรัชญาชาวกรีก ผู้ที่มีชีวิตอยู่ประมาณ 440 ปี กคศ. รวมทั้ง ดีโมครีตุส (Democritus) ผู้มีอายุอยู่ในช่วง 460-370 กคศ. 


แต่พระคัมภีร์กล่าวไว้ในพระธรรมโยบซึ่งเป็นบุคคลที่มีชีวิตอยู่ในราว 2000 ปี กคศ. ว่าโลกนั้นลอยอยู่เหนือที่ว่างเปล่า นั่นคือลอยอยู่ในอวกาศ

โยบ 26:7: 
พระองค์ทรงคลี่อุดรออกคลุมที่เวิ้งว้าง  และ "แขวนโลกไว้เหนือที่ว่างเปล่า"  (โลกลอยอยู่กลางอวกาศ)

- พระธรรมสุภาษิตซึ่งเขียนโดยซาโลมอนในราว 950 ปี กคศ. กล่าวว่าโลกกลม

สุภาษิต 8:27
“เมื่อพระองค์ทรงสถาปนาฟ้าสวรรค์เราอยู่ที่นั่นแล้ว เมื่อพระองค์ทรงลากเส้นรอบวงบนพื้นมหาสมุทร”
When he established the heavens, I was there; when he drew a circle on the face of the deep,
- พระธรรมอิสยาห์ซึ่งเขียนขึ้นในราว 700 ปี กคศ. กล่าวว่าโลกกลม

อิสยาห์ 40:22:
คือพระองค์ผู้ประทับเหนือปริมณฑล (วงกลม) ของแผ่นดินโลก
It is he who sits above the circle of the earth.

โยบ 26:10: 
พระองค์ทรงขีดปริมณฑล (วงกลม) ไว้บนพื้นน้ำ  ณ เขตระหว่างความสว่างและ ความมืด  
He has inscribed a circle on the face of the waters at the boundary between light and darkness. 

* เส้นวงกลมระหว่างความสว่างและความมืด ก็คือ ชั้นบรรยากาศนั่นเองครับ

- พระคริสตธรรมคัมภีร์ จึงเป็นหลักฐานที่ยืนยันถึงสัณฐานของโลกอย่างถูกต้อง ก่อนที่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์มากกว่า 2000 ปี


-------------
http://www.christiancmu.com/unseen-in-the-bible/29-2009-08-14-09-22-25

วิ่งผ่านหนทางแห่งความชั่วร้าย

เรากำลังวิ่งตรงไปหาพระเยซูคริสต์ ซึ่งอยู่ปลายทาง ...
แต่ในระหว่างทาง จะมีมารซาตานอยู่ข้าง ๆ คอยหลอกล่อให้เราหยุดเดิน

วิญญาณ ชั่วรบกวนชีวิตของเราได้อย่างไร ? ผมขอตอบโดยยกตัวอย่างง่าย ๆ ขอให้คุณนึกภาพว่าคุณกำลังยืนอยู่ในหนทางที่ลึกและแคบ ซึ่งมีตึกแถวสองชั้น เรียงรายตลอดข้างทาง พระเยซูทรงยืนอยู่ปลายทางอีกข้างหนึ่ง และชีวิตคริสเตียนของคุณก็คือ กระบวนการที่คุณเดินไปตามหนทางเส้นนี้ โดยมองที่พระเยซูผู้ทรงเป็นผู้บุกเบิกความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ ในเส้นทางนี้ไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถขัดขวางคุณไม่ให้เดินไปหาพระเยซู (เป็นถนนโล่ง ๆ) โดยความเชื่อในฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังนั้นเมื่อคุณต้อนรับพระคริสต์ คุณจึงจับจ้องที่พระองค์ และเริ่มเดินไป

แต่ เนื่องจากโลกนี้ยังคงอยู่ภายใต้การครอบงำของมารซาตาน และตึกแถวสองข้างทางก็เป็นที่อาศัยของสิ่งต่าง ๆ ที่มุ่งมั่นจะขัดขวางไม่ให้คุณไปถึงเป้าหมาย พวกมันไม่มีฤทธิ์เดช หรือสิทธิอำนาจที่จะขวางทางคุณ หรือแม้แต่ฉุดรั้งให้คุณเดินช้าลง ดังนั้น มันจึงโผล่หัวออกมาทางหน้าต่างและเรียกคุณ เพื่อจะหันเหความสนใจของคุณไปจากเป้าหมาย และทำให้การเดินของคุณหยุดชะงัก พวกมันก็เหมือนแมงดาที่พยายามหลอกล่อคุณเข้าไปในซ่องโสเภณี

บาง ทีมันก็จะล่อลวงคุณโดยพูดว่า "เฮ้ ดูนี่สิ ฉันมีสิ่งที่คุณอยากได้มาก ๆ มันอร่อย มันรู้สึกดี แล้วก็สนุกกว่าการเดินทางของคุณที่น่าเบื่อนั้นเยอะเลย เข้ามาสิ ลอง ๆ ดูก่อนก็ได้"

บาง ทีมันก็จะกล่าวตำหนิคุณ โดยพูดว่า "แกคิดว่าแกเป็นใคร ? พระเจ้าไม่ได้รักแก ! แกไม่มีค่าเลยซักนิด แน่ละ แกไม่ได้เชื่อเรื่องที่แกได้ขึ้นสวรรค์ไปอยู่กับพระเจ้าหรอก" ... พวกวิญญาณชั่วเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการกล่าวโทษ ตำหนิติเตียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่มันได้ล่อลวง จนคุณออกนอกลู่นอกทางแล้ว ตอนแรก ๆ มันบอกว่า "ลองดูหน่อยน่า ไม่เห็นเสียหายตรงไหนเลย" แต่พอคุณยอมทำตาม มันก็จะเยาะเย้ยคุณทันทีว่า "ดูซิ แกทำอะไรลงไป ? ทำตัวอย่างนี้แล้วยังจะเรียกตัวเองว่าคริสเตียนอีกเหรอ" การตำหนิกล่าวโทษเป็นอาวุธหลักอย่างหนึ่ง ที่ซาตานใช้ล่อลวงคุณให้ออกจากเป้าหมาย

ความ คิดอื่น ๆ ที่คุณจะได้ยินขณะที่คุณเดินไปตามเส้นทางนี้ได้แก่ "วันนี้คุณไม่จำเป็นต้องไปโบสถ์หรอก อธิษฐานและอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน...ไม่เห็นจะสำคัญตรงไหน ออกไปเที่ยวผับ เที่ยวบาร์ ก็ไม่ได้เลวร้ายซักหน่อย" ... ทั้งหมดนี้เป็นคำหลอกลวง และมันเป็นอาวุธที่แยบยลของซาตานซึ่งจะบั่นทอนกำลังเรามากที่สุด บ่อยครั้งที่คุณจะได้ยินถ้อยคำเหล่านี้เหมือนเป็นความคิดของคุณเอง "วันนี้ฉันไม่ว่าง ฉันมีธุระต้องไปที่นั่นที่นี่ วันนี้ฉันคงไม่ต้องไปโบสถ์ อธิษฐาน หรือ อ่านพระคัมภีร์ ฯลฯ" ... ซาตานรู้ว่า คุณจะหลงกลมันง่ายขึ้น ถ้ามันสามารถทำให้คุณคิดว่านั่นเป็นความคิดของคุณเอง ไม่ใช่ความคิดของมัน

ศัตรู ของมีเป้าหมายอะไรในการเยาะเย้ยคุณ ล่อลวงคุณ และยิงคำถามใส่คุณ จากหน้าต่างหรือประตูที่อยู่สองข้างทาง มันต้องการให้คุณเดินช้าลง หยุดเดิน นั่งลง หรือถ้าเป็นได้ ก็เลิกเดินทางไปหาพระเยซู มัน ต้องการให้คุณสงสัยความสามารถของคุณที่จะเชื่อ แต่ให้คุณจำไว้ว่า มันไม่มีฤทธิ์เดชหรืออำนาจใด ๆ เลย ที่จะขัดขวางคุณไม่ให้ก้าวเดินไปอย่างมั่นคงและมุ่งตรงไปหาพระเยซูคริสต์ และมันไม่มีทางหวนกลับมาเป็นเจ้าของชีวิตคุณได้อีก เพราะพระเยซูได้ทรงไถ่คุณไว้แล้ว และคุณอยู่ในพระองค์ตลอดกาล (1 เปโตร 1:18-19 -- "พวกท่านรู้ว่าพวกท่านได้รับการไถ่ออกจากการดำเนินชีวิตที่ไร้สาระ ซึ่งตกทอดมาจากบรรพบุรุษของพวกท่าน ไม่ใช่ด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายได้ เช่นเงินหรือทอง แต่ด้วยพระโลหิตล้ำค่าของพระคริสต์ ดังเลือดลูกแกะที่ไร้ตำหนิและไร้จุดด่างพร้อย")

แต่ถ้ามันสามารถทำให้คุณฟังความคิดที่มันปลูกฝังในจิตใจคุณ มันก็จะมีอิทธิพลต่อคุณได้ และถ้าคุณยอมให้มันมีอิทธิพลต่อคุณนานพอ โดยปล่อยให้มันล่อลวง ตำหนิกล่าวโทษ หลอกลวง มันก็จะหยุดความก้าวหน้าของคุณได้

ระดับ เสรีภาพซึ่งเราจะมีประสบการณ์ในฐานะคริสเตียนนั้น อยู่ระหว่างเส้นคะแนนมากไปหาน้อย สุดปลายข้างหนึ่งคืออัครทูตเปาโล ผู้มีชีวิตคริสเตียนและพันธกิจที่เราสมควรเอาเป็นแบบอย่าง ถึงแม้เขาจะต้องต่อสู้กับความบาปและมารซาตาน (โรม 7:15-25 / 2 โครินธ์ 12:7-9) และสุดปลายอีกข้างหนึ่งคือคนที่ถูกผีเข้า ซึ่งถูกวิญญาณชั่วควบคุมหมดทั้งชีวิต (มัทธิว 8:28-34) ไม่มีใครตกอยู่ภายใต้การควบคุมของซาตานในชั่วข้ามคืน แต่มันเป็นกระบวนการค่อยเป็นค่อยไปที่คนหนึ่งจะถูกมารล่อลวง และยอมต่ออิทธิพลอันแยบยลของมัน ผมขอประมาณว่า มีคริสเตียนส่วนหนึ่ง (ส่วนน้อย) ที่ดำเนินชีวิตอย่างอิสระและเกิดผลดีในพระคริสต์ ผู้เชื่อเหล่านี้รู้ว่า พวกเขากำลังเติบโต พวกเขาใคร่ครวญพระวจะของพระเจ้าอย่างมีเป้าหมายและพวกเขากำลังเกิดผล (น่าเสียดายเหลือเกินที่คริสเตียนอีกส่วนหนึ่งดำเนินชีวิตไม่เกิดผล)

การ มีชีวิตและการเป็นอิสระในพระคริสต์นั้น เป็นสิทธิโดยกำเนิดของลูกพระเจ้าทุกคน เราไม่จำเป็นต้องดำเนินชีวิตฝ่ายเนื้อหนัง แต่เราสามารถมีชีวิตเป็นอิสระได้ในพระเยซูคริสต์


วิ่งให้ชนะการแข่งขัน

... มี 3 วิธี ที่จะตอบสนองต่อเสียงเยาะเย้ย และวาจาเชือดเฉือนที่มาจากประตูและหน้าต่างชั้นสอง ระหว่างที่คุณดำเนินชีวิตประจำวันกับพระเยซูคริสต์

วิธี ที่ 1 ... คริสเตียนที่พ่ายแพ้ส่วนใหญ่ คือคนที่หันไปเชื่อฟังวิญญาณที่ล่อลวง (1 ทิโมธี 4:1) พวกเขาทำตัวอ่อนแอและยอมทำตามการล่อลวงและเชื่อทั้งคำหลอกลวงและคำตำหนิ กล่าวโทษ
คริสเตียนเหล่านี้พ่ายแพ้ ก็เพราะเขาถูกหลอกให้หลงเชื่อว่า...
- พระเจ้าไม่รักพวกเขา
- พวกเขาไม่มีทางเป็นคริสเตียนที่มีชัยชนะได้
- พวกเขาเป็นเหยื่อของอดีต และช่วยเหลือตนเองไม่ได้
แท้ จริงแล้ว พวกเขาสามาถลุกขึ้นได้ทันที และเริ่มเดินอีกครั้ง แต่พวกเขาได้เชื่อคำโกหก ดังนั้นพวกเขาจึงนั่งอยู่กลางเส้นทางอย่างพ่ายแพ้

วิธี ที่ 2 ... การตอบสนองแบบวิธีที่ 2 นี้ก็ไร้ประโยชน์พอ ๆ กัน ... คริสเตียนหลายคนพยายามโต้เถียงกับวิญญาณชั่วว่า "ฉันไม่ได้น่าเกลียดหรือโง่ ฉันเป็นคริสเตียนที่มีชัยชนะ ...ที่แกบอกนั้นไม่จริง ฉันปฏิเสธคำโกหกนั้น" พวกเขาคิดว่าพวกเขากำลังต่อสู้อย่างดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความคิดแง่ลบเหล่านั้นยังคงควบคุมพวกเขา และคอยกำหนดเรื่องที่พวกเขาจะคิด พวกเขายืนอยู่กลางทางนั้น พร้อมกับตะโกนใส่พวกวิญญาณชั่ว ทั้ง ๆ ที่เขาควรจะเดินหน้าต่อไป ทั้งนี้ไม่ว่าความคิดแง่ลบหรือความคิดจอมปลอมนั้น จะมาจากโลก จากเนื้อหนัง หรือจากวิญญาณชั่ว มันก็ไม่แตกต่างกัน
เรา ต้องน้อมนำความคิดทุกประการให้เข้าอยู่ภายใต้พระคริสต์ และเชื่อฟังพระองค์ ... พระเจ้าไม่ได้เรียกเรามาเพื่อขับไล่ความมืด แต่พระองค์ทรงเรียกเรามาเพื่อให้เปิดไฟ

วิธี ที่ 3 ... การตอบสนองแบบที่ 3 คือ เราชนะโลก เนื้อหนัง และมารซาตาน โดยการเลือกความจริง เราต้องไม่เชื่อวิญญาณชั่ว หรือสนทนากับมัน ... เราได้รับคำสั่งว่าไม่ต้องสนใจพวกมัน สิ่งที่เราควรกระทำต่อลูกศรแห่งการล่อลวง การกล่าวโทษ และการหลอกลวงทุกชนิดที่ยิงใส่เราก็คือ แค่ยกโล่กำบังแห่งความเชื่อปัดป้องการโจมตีนั้น แล้วก็เดินหน้าต่อไป เราเลือกความจริงแทนการโกหกทุกอย่าง และเมื่อเราทำเช่นนั้น เราก็จะเติบโตขึ้นทุกย่างก้าว

-----------

* คัดลอกจากหนังสือ "ผู้หักโซ่ตรวน" หน้า 145-148 เขียนโดย Neil T. Anderson

ชีวประวัติของพระเยซูคริสต์เชื่อถือได้ไหม ?


สัมภาษณ์โดย: ลี สตรอเบล
http://www.leestrobel.com/ - http://en.wikipedia.org/wiki/Lee_Strobel

ผู้ให้ข้อมูล: ดร.เครก แอล. บลอมเบอร์ก, Ph.D
http://www.theopedia.com/Craig_Blomberg



พยานผู้เห็นเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์

พระกิตติคุณทั้ง 4 เล่ม เขียนขึ้นโดย มัทธิว มาระ โก ลูกา ยอห์น จริงหรือไม่ ?
--- จริง ... เพราะว่า คริสตจักรสมัยแรกต่างยอมรับว่า
มัทธิว หรือ เลวี คนเก็บภาษี เป็นหนึ่งในสาวกสิบสองคน เป็นผู้เขียนพระกิตติคุณเล่มแรก
จอห์น มาร์ก (ยอห์น มาระโก) ผู้ช่วยของเปโตร คือ ผู้เขียนพระกิตติคุณมาระโก
ลูกา ผู้ที่เปาโลเรียกว่า "นายแพทย์ที่รัก" เขียนทั้งพระกิตติคุณลูกา และหนังสือกิจการ

มีข้อพิสูจน์สอดคล้องกันเพียงใด จนทำให้เราเชื่อได้เช่นนั้น ?
--- เพราะว่าไม่มีข้ออ้างอย่างอื่นเกี่ยวกับผู้เขียนพระกิตติคุณทั้ง 3 เล่ม (มัทธิว มาระโก ลูกา) และไม่มีข้อโต้แย้งเลย

เป็นไปได้ไหมที่ใครบางคนอยากจะโกหก โดยอ้างชื่อคนเหล่านี้เป็นผู้เขียน ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ ?
--- คงจะไม่มี อย่าลืมว่า พวกเขาไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียงเลย...ทั้งมาระโก และลูกา ไม่ได้เป็นแม้แต่กระทั่งสาวกในสิบสองคน มัทธิวเป็นหนึ่งในสิบสอง แต่เขาเคยเป็นคนเก็บภาษีที่ทุกคนเกลียดชัง เขาคงเป็นคนไร้ชื่อเสียงเป็นที่สองรองจากยูดาสอิสคาริโอทผู้ทียศพระเยซูก็ ว่าได้
ยิ่ง กว่านั้น ในทางตรงกันข้าม เมื่อมีการเขียนพระกิตติคุณฉบับลอกเลียนแบบ (ของปลอม) ในเวลาต่อมา มีการอ้างชื่อบุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นผู้เขียน คือ ฟีลิป เปโตร มารีย์ และยากอบ ชื่อเหล่านี้มีน้ำหนักมากกว่า มัทธิว มาระโก และลูกา ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลใดเลยในการอ้างอิงชื่อของ มัทธิว มาระโก และลูกา ซึ่งมีความสำคัญน้อยเป็นผู้เขียน ถ้าหากว่าไม่เป็นความจริง

แล้วยอห์นล่ะ ?
--- ยอห์นเป็นพระกิตติคุณเล่มเดียว ที่มีปัญหาเรื่องผู้เขียน ... ชื่อผู้เขียนคือ ยอห์น อย่างแน่นอน ไม่มีปัญหา แต่ปัญหาคือ ยอห์นผู้เป็นสาวก หรือ ยอห์นคนอื่น
มี คำพยานของนักเขียนคริสเตียนชื่อ ปาปิอัส ราว ค.ศ. 125 ได้กล่าวถึง ยอห์นผู้เป็นสาวก และยอห์นซึ่งเป็นผู้ปกครอง และจากเนื้อหาที่เขาเขียนนั้นไม่มีรายละเอียดชัดเจน แต่อย่างไรก็ตาม คริสตจักรสมัยแรกทั้งหมดต่างมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า ยอห์น อัครทูต บุตรเศเบดี เป็นผู้เขียน
... ถ้าคุณอ่านพระกิตติคุณเล่มนี้อย่างละเอียดจะพบข้อบ่งชี้ว่า มีผู้เรียบเรียงบทสรุปในตอนท้าย โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่มีปัญหาที่จะเชื่อว่า มีผู้ใกล้ชิดกับยอห์นทำหน้าที่ดังกล่าว โดยเขียนสรุปซึ่งสอดคล้องกับเนื้อหาทั้งหมด
... แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เป็นที่แน่ชัดว่าพระกิตติคุณยอห์น เขียนขึ้นโดยพยานผู้เห็นเหตุการณ์เหมือนกับพระกิตติคุณอีกสามเล่ม


ค้นหาข้อเจาะจง
มีข้อพิสูจน์เจาะจงอย่างไรว่า มัทธิว มาระโก ลูกา ยอห์น เป็นผู้เขียนพระกิตติคุณตัวจริง ?
--- ข้อพิสูจน์เก่าแก่ที่สุด มาจากปาปิอัส (ค.ศ.125) ได้ยินยันเจาะจงว่า มาระโก เป็นผู้บันทึกสิ่งที่เปโตรเห็น ความจริงเขากล่าวว่า "มาระโกไม่มีข้อผิดพลา่ดเลย" และไม่มีข้อ "บิดเบือน" และปาปิอัสบอกอีกว่า มัทธิวได้บันทึกคำสอนของพระเยซูด้วยเหมือนกัน
... ไอเรเนียส ที่เราพบข้อเขียนของเขาประมาณ ค.ศ.180 ก็ยืนยันเหมือนกัน ไอเรเนียสยืนยันว่า
"มัท ธิวประกาศพระกิตติคุณท่ามกลางคนฮีบรูด้วยภาษาของเขาเอง ขณะที่เปาโลและเปโตรเทศนาอยู่ที่กรุงโรมและสร้างคริสตจักรขึ้นที่นั่น หลังจากพวกเขาออกเดินทางไปแล้ว มาระโกผู้เป็นสาวกและล่ามของเปโตร ได้มอบข้อเขียนซึ่งเป็นคำเทศนาของเปโตรให้แก่เรา ... ลูกา ผู้ติดตามเปาโล ได้เขียนพระกิตติคุณขึ้นอีกเล่มหนึ่งตามคำเทศนาของผู้เป็นครู ... แล้วยอห์นสาวกขององค์พระผู้เป็นเจ้า คนที่เอนกายที่พระทรวงของพระเยซู ก็ได้เขียนพระกิตติคุณของเขาเองขณะอาศัยอยู่ที่เมืองเอเฟซัสในเอเชีย


ชีวประวัติแบบโบราณและสมัยใหม่

โดย ปกติ การเขียนชีวประวัติบุคคล ผู้เขียนจะค้นคว้าประวัติของบุคคลนั้นอย่างถี่ถ้วน แต่ทำไม มาระโกไม่ได้กล่าวถึงชีวิตช่วงแรกของพระเยซู แต่เน้นสามปีสุดท้ายและสัปดาห์สุดท้าย ?
--- 1. นั่นเป็นวิธีการเขียนชีวประัวัติบุคคลในสมัยโบราณ เขาไม่คิดอย่างที่เราทำทุกวันนี้ คือ ต้องให้ความสำคัญของแต่ละช่วงชีวิืตเท่า ๆ กัน หรือต้องเล่าเหตุการณ์ตามลำดับ
... จุดประสงค์เดียวที่พวกเขาคิดว่าสมควรบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ เพราะมีบทเรียนที่น่าเรียนรู้จากบุคคลที่ถูกกล่าวถึง ดังนั้นผู้เขียนจึงเน้นความสำคัญต่อชีวิตในส่วนนั้น ส่วนที่น่าเอาแบบอย่าง มีความชัดเจน ช่วยผู้คนได้ และมีความหมายต่อช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์
--- 2. คริสเตียนเชื่อว่า แม้ชีวิต คำสอนและการอัศจรรย์ของพระเยซูจะแสนวิเศษ แต่ก็ไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง ถ้าเรื่องนั้นไม่ใช่ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ว่าพระเยซูได้สิ้นพระ ชนม์ และทรงเป็นขึ้นมาจากความตายเพื่อไถ่บาปและยกโทษบาปของมนุษยชาติ
...ดัง นั้น มาระโก ซึ่งคงเป็นผู้เขียนพระกิตติคุณเล่มแรกจึงใช้เนื้อที่มากกว่าครึ่งหนึ่งเน้น เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่นำสู่สัปดาห์สุดท้าย จนถึงการสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ โดยให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อเรื่องการตรึงกางเขน สิ่งนี้สร้างประสาทสัมผัสสมบูรณ์แบบในวรรณกรรมโบราณ


ความลึกลับของ Q

นอกจากพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่มแล้ว นักวิชาการยังกล่าวถึงบันทึกที่พวกเขาเรียกว่า Q ซึ่งเป็นคำย่อจากภาษาเยอรมัน คือ Quelle หรือ "Source" แปลว่า "แหล่งที่มา" เพราะความคล้ายคลึงกันของบริบทและภาษา จึงมีสมมุติฐานที่เชื่อกันต่อมาว่า มัทธิว และลูกา ต่างใช้ข้อเขียนของมาระโกเป็นฐานในการเขียนพระกิตติคุณของตน ยิ่งกว่านั้น นักวิชาการยังเชื่อว่า ทั้งมัทธิวและลูกาต่างก็ใช้ข้อเขียนจาก Q อันลึกลับนี้ แต่ไม่ปรากฎในมาระโก
จริง ๆ แล้ว Q คืออะไร ?
--- ไม่มีอะไรมาก นอกจากเป็นสมมุติฐาน...นอกจากข้อยกเว้นสองสามอย่างแล้ว ก็เป็นบันทึกคำตรัสหรือคำสอนของพระเยซู ซึ่งครั้งหนึ่งคงถูกรวบรวมแยกไว้ต่างหาก
...จะเห็นว่า นั่นเป็นรูปแบบวรรณกรรมธรรมดาในการรวบรวมคำสอนของครูที่น่านับถือเข้าไว้ด้วยกัน เป็นเหมือนเราแยกบรรดาเพลงโปรดของนักร้องแต่ละคนมารวมเป็นอัลบั้ม "ยอดนิยม" ต่างหาก...และ Q ก็คงเป็นเช่นนั้น อย่างน้อยนี่ก็เป็นทฤษฎีหนึ่ง" ... แต่ถ้า Q มีอยู่ก่อนมัทธิว และ ลูกา ก็แสดงว่ามีบันทึกเรื่องพระเยซูตั้งแต่แรกเริ่ม ผมคิดว่า บางทีข้อเขียนเหล่านั้นอาจให้ภาพชัดเจนว่าพระเยซูเป็นอย่างไรแน่

ถ้าแยกแยะข้อมูลจาก Q เราจะได้ภาพพระเยซูอย่างไร ?
--- คุณต้องระลึกไว้ว่า Q เป็นบทรวบรวมคำพูด ดังนั้นจึงไม่มีเรื่องเล่าหรือเหตุการณ์ที่สามารถให้ภาพพระเยซูในมุมกว้างได้...แต่กระนั้นก็ตาม คุณจะพบว่าพระเยซูได้ประกาศอย่างห้าวหาญ เช่น ทรงดำเนินชีวิตอย่างคนมีปัญญา หรือโดยพระองค์นั้น พระเจ้าจะพิพากษามนุษยชาติ ไม่ว่าพวกเขาจะยอมรับหรือปฏิเสธก็ตาม...มีหนังสือบางเล่มได้แย้งว่า ถ้าแยกคำพูดของพระเยซูใน Q ทั้งหมด เราก็จะยังได้ภาพของพระเยซูแบบเดียวกัน คือ ผู้ประกาศถึงตนเองอย่างกล้าหาญเหมือนอย่างที่ได้พบในพระกิตติคุณโดยทั่วไป"
ถ้าเราคัดเอาเฉพาะคำพูดของพระเยซู จะแสดงให้เห็นภาพว่าพระองค์เป็นผู้ทำการอัศจรรย์ไหม ?
--- คุณคงไม่เห็นภาพการอัศจรรย์มากเป็นพิเศษ เพราะภาพการอัศจรรย์จะพบได้จากการเล่าเรื่อง แต่ Q เป็นบทรวบรวมคำพูด
ตัวอย่างเช่น...ลูกา 7:18-23 และ มัทธิว 11:2-6 กล่าวว่า ยอห์น ผู้ให้บัพติสมาส่งคนไปถามพระเยซูว่าทรงเป็นพระคริสต์ ผู้ที่พวกเขารอคอยอยู่ และพระเยซูทรงตอบเขาด้วยคำสำคัญว่า "จงไปแจ้งแก่ยอห์น ตามที่ท่านได้เห็นและยิน คือว่า คนตาบอดมองเห็นได้ คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายสะอาด คนหูหนวกได้ยิน คนตายแล้วเป็นขึ้นมา และข่าวประเสริฐก็ประกาศแก่คนอนาถา"
...ดังนั้น แม้แต่ใน Q ก็มีข้ออ้างถึงการอัศจรรย์ของพระเยซูคริสต์เหมือนกัน


ถ้าเช่นนั้น ทำไมมัทธิวซึ่งอ้างว่าเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ จึงเขียนพระกิตติคุณโดยอาศัยข้อเขียนของมาระโก ซึ่งไม่ใช่ผู้เห็นเหตุการณ์ ?
--- เพราะ มาระโกทำการบันทึกโดยการรวบรวมเรื่องราวจากเปโตร พยานผู้เห็นเหตุการณ์ ... เปโตรเป็นสาวกที่ใกล้ชิดพระเยซูมากกว่ามัทธิว ...แน่นอนเขาจึงได้เห็น ได้ยินสิ่งที่สาวกคนอื่นไม่ได้เห็นหรือได้ยิน จึงเป็นไปได้ ที่แม้ว่ามัทธิวเองเป็นพยานผู้เห็นเหตุการณ์ แต่ยังอาศัยข้อมูลของเปโตร ซึ่งถ่ายทอดผ่านทางมาระโก


โปรดติดตามตอนต่อไป...

ยอห์นกินอะไรเป็นอาหาร ระหว่างจักจั่นที่เป็นแมลง หรือจักจั่นที่เป็นพืช ?


Thai 1971 มธ.3.4 // เสื้อผ้าของยอห์นผู้นี้ ทำด้วยขนอูฐและท่านใช้หนังสัตว์คาดเอว อาหารของท่านคือจักจั่นและน้ำผึ้งป่า

TSV 2002 มธ.3.4 // เสื้อผ้าของยอห์นผู้นี้ ทำด้วยขนอูฐและท่านใช้หนังสัตว์คาดเอว อาหารของท่านคือตั๊กแตนและน้ำผึ้งป่า

ESV Matt 3.4 // Now John wore a garment of camel's hair and a leather belt around his waist, and his food was locusts and wild honey. (Locust หมายถึง ตั๊กแตน)


เลวีนิติ 11.22 // “ในจำพวกแมลงต่อไปนี้เจ้ารับประทานได้ ตั๊กแตนตามชนิดของมัน จิ้งหรีดโกร่งตามชนิดของมัน จักจั่นตามชนิดของมัน และตั๊กแตนโมตามชนิดของมัน”



สรุป

. ตั๊กแตน ที่ยอห์นกินนั้น ในภาษากรีกคือคำว่า "Akris" ซึ่งหมายถึง “จักจั่น” หรือ ”ตั๊กแตน”
ภาษาอังกฤษคือ
. Locust – ตั๊กแตนที่ทำลายพืชผล
. grasshopper - ตั๊กแตนตัวใหญ่

. ตั๊กแตนในถิ่นทุรกันดาร น่าจะเป็นตั๊กแตนขนาดใหญ่ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ยังเป็นอาหารของคนยากไร้ในตะวันออกกลาง และแอฟริกา(1)

. จักจั่น หรือ ตั๊กแตนเป็นอาหารที่รับประทานได้ตามที่กล่าวไว้ใน เลวีนิติ 11.22

. ดังนั้น พระคัมภีร์ทั้งในพันธสัญญาใหม่และพันธสัญญาเดิม ได้กล่าวถึง “จักจั่น” หรือ “ตั๊กแตน” ที่เป็นแมลงจริง ๆ ไม่ได้หมายถึงจักจั่นที่เป็นพืชแต่อย่างใด (แม้จะมีบางคนเชื่อว่าเป็นพืชก็ตาม)

-------------------------------------------------------------------------------------------
(1) Crossway Bibles, The ESV Study Bible,English Standard Version, (United states of America: Crossway Bibles, 2008), p. 1824.

คุณเป็นใคร ในพระคริสต์ ?


ฉันเป็นที่ยอมรับ

ยอห์น 1:12 ฉันเป็นบุตรของพระเจ้า

ยอห์น 15:15 ฉันเป็นสหายของพระคริสต์

โรม 5:1 ฉันเป็นคนชอบธรรมแล้ว

1 โครินธ์ 6:17 ฉันได้ผูกพันกับพระเจ้าและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์ในจิตวิญญาณ

1 โครินธ์ 6:20 พระเจ้าทรงซื้อฉันไว้ด้วยราคาสูง ฉันเป็นของพระเจ้า

1 โครินธ์ 12:27 ฉันเป็นอวัยวะในพระกายของพระคริสต์

เอเฟซัส 1:1 ฉันเป็นธรรมิกชน

เอเฟซัส 1:5 พระเจ้าทรงรับฉันเป็นบุตร

เอเฟซัส 2:18 ฉันสามารถเข้าเฝ้าพระเจ้าได้โดยตรง ทางพระวิญญาณบริสุทธิ์

โคโลสี 1:14 ฉันได้รับการไถ่และได้รับการยกโทษบาปทั้งหมดของฉัน

โคโลสี 2:10 ฉันเป็นคนที่ครบบริบูรณ์ในพระคริสต์



-------

ฉันมั่นคงปลอดภัย

โรม 8:1-2 ฉันเป็นอิสระจากการลงโทษทั้งสิ้น

โรม 8:28 ฉันมั่นใจได้ว่าทุกสิ่งร่วมกันก่อให้เกิดผลดี

โรม 8:31-34 ฉันเป็นอิสระจากข้อกล่าวหาทั้งสิ้น

โรม 8:35-39 ฉันไม่มีทางขาดจากความรักของพระเจ้า

2 โครินธ์ 1:21-22 ฉันได้รับการแต่งตั้ง การเจิม และการประทับตราจากพระเจ้า

โคโลสี 3:3 ฉันถูกซ่อนไว้กับพระคริสต์ ในพระเจ้า

ฟีลิปปี 1:6 ฉันมั่นใจว่า การดีที่พระเจ้าทรงตั้งต้นไว้ในฉัน จะสำเร็จสมบูรณ์

ฟีลิปปี 3:20 ฉันเป็นพลเมืองของสวรรค์

2 ทิโมธี 1:7 ฉันไม่ได้รับจิตใจที่ขลาดกลัว แต่ได้รับจิตใจที่มีฤทธิ์เดช ความรัก และการบังคับตนเอง

ฮีบรู 4:16 ฉันสามารถได้รับพระคุณและพระเมตตาในเวลาที่ต้องการ

1 ยอห์น 5:18 ฉันเกิดจากพระเจ้า และมารร้ายไม่สามารถแตะต้องฉัน

-------

ฉันมีความสำคัญ

มัทธิว 5:13 ฉันเป็นเกลือและแสงสว่างของโลก

ยอห์น 15:1-5 ฉันเป็นแขนงของเถาองุ่นแท้ และเป็นท่อพระพรแห่งชีวิต

ยอห์น 15:16 ฉันได้รับการเลือกและได้รับการแต่งตั้งให้เกิดผล

กิจการ 1:8 ฉันเป็นพยานส่วนตัวของพระคริสต์

1 โครินธ์ 3:16 ฉันเป็นวิหารของพระเจ้า

2 โครินธ์ 5:17-20 ฉันเป็นผู้ทำพันธกิจแห่งการคืนดี

2 โครินธ์ 6:1 ฉันเป็นผู้ร่วมงานของพระเจ้า

เอเฟซัส 2:6 ฉันได้นั่งกับพระคริสต์ในสวรรค์

เอเฟซัส 2:10 ฉันเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า

เอเฟซัส 3:12 ฉันสามารถเข้าเฝ้าพระเจ้าได้อย่างเสรี และด้วยความมั่นใจ

ฟีลิปปี 4:13 ฉันสามารถทำทุกสิ่งได้ โดยพระคริสต์ ผู้ทรงประทานกำลังแก่ฉัน


-------

* คัดลอกจากหนังสือ "ผู้หักโซ่ตรวน" หน้า 54-55 เขียนโดย Neil T. Anderson