เรากำลังวิ่งตรงไปหาพระเยซูคริสต์ ซึ่งอยู่ปลายทาง ... แต่ในระหว่างทาง จะมีมารซาตานอยู่ข้าง ๆ คอยหลอกล่อให้เราหยุดเดิน |
วิญญาณ ชั่วรบกวนชีวิตของเราได้อย่างไร ? ผมขอตอบโดยยกตัวอย่างง่าย ๆ ขอให้คุณนึกภาพว่าคุณกำลังยืนอยู่ในหนทางที่ลึกและแคบ ซึ่งมีตึกแถวสองชั้น เรียงรายตลอดข้างทาง พระเยซูทรงยืนอยู่ปลายทางอีกข้างหนึ่ง และชีวิตคริสเตียนของคุณก็คือ กระบวนการที่คุณเดินไปตามหนทางเส้นนี้ โดยมองที่พระเยซูผู้ทรงเป็นผู้บุกเบิกความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ ในเส้นทางนี้ไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถขัดขวางคุณไม่ให้เดินไปหาพระเยซู (เป็นถนนโล่ง ๆ) โดยความเชื่อในฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังนั้นเมื่อคุณต้อนรับพระคริสต์ คุณจึงจับจ้องที่พระองค์ และเริ่มเดินไป
แต่ เนื่องจากโลกนี้ยังคงอยู่ภายใต้การครอบงำของมารซาตาน และตึกแถวสองข้างทางก็เป็นที่อาศัยของสิ่งต่าง ๆ ที่มุ่งมั่นจะขัดขวางไม่ให้คุณไปถึงเป้าหมาย พวกมันไม่มีฤทธิ์เดช หรือสิทธิอำนาจที่จะขวางทางคุณ หรือแม้แต่ฉุดรั้งให้คุณเดินช้าลง ดังนั้น มันจึงโผล่หัวออกมาทางหน้าต่างและเรียกคุณ เพื่อจะหันเหความสนใจของคุณไปจากเป้าหมาย และทำให้การเดินของคุณหยุดชะงัก พวกมันก็เหมือนแมงดาที่พยายามหลอกล่อคุณเข้าไปในซ่องโสเภณี
บาง ทีมันก็จะล่อลวงคุณโดยพูดว่า "เฮ้ ดูนี่สิ ฉันมีสิ่งที่คุณอยากได้มาก ๆ มันอร่อย มันรู้สึกดี แล้วก็สนุกกว่าการเดินทางของคุณที่น่าเบื่อนั้นเยอะเลย เข้ามาสิ ลอง ๆ ดูก่อนก็ได้"
บาง ทีมันก็จะกล่าวตำหนิคุณ โดยพูดว่า "แกคิดว่าแกเป็นใคร ? พระเจ้าไม่ได้รักแก ! แกไม่มีค่าเลยซักนิด แน่ละ แกไม่ได้เชื่อเรื่องที่แกได้ขึ้นสวรรค์ไปอยู่กับพระเจ้าหรอก" ... พวกวิญญาณชั่วเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการกล่าวโทษ ตำหนิติเตียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่มันได้ล่อลวง จนคุณออกนอกลู่นอกทางแล้ว ตอนแรก ๆ มันบอกว่า "ลองดูหน่อยน่า ไม่เห็นเสียหายตรงไหนเลย" แต่พอคุณยอมทำตาม มันก็จะเยาะเย้ยคุณทันทีว่า "ดูซิ แกทำอะไรลงไป ? ทำตัวอย่างนี้แล้วยังจะเรียกตัวเองว่าคริสเตียนอีกเหรอ" การตำหนิกล่าวโทษเป็นอาวุธหลักอย่างหนึ่ง ที่ซาตานใช้ล่อลวงคุณให้ออกจากเป้าหมาย
ความ คิดอื่น ๆ ที่คุณจะได้ยินขณะที่คุณเดินไปตามเส้นทางนี้ได้แก่ "วันนี้คุณไม่จำเป็นต้องไปโบสถ์หรอก อธิษฐานและอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน...ไม่เห็นจะสำคัญตรงไหน ออกไปเที่ยวผับ เที่ยวบาร์ ก็ไม่ได้เลวร้ายซักหน่อย" ... ทั้งหมดนี้เป็นคำหลอกลวง และมันเป็นอาวุธที่แยบยลของซาตานซึ่งจะบั่นทอนกำลังเรามากที่สุด บ่อยครั้งที่คุณจะได้ยินถ้อยคำเหล่านี้เหมือนเป็นความคิดของคุณเอง "วันนี้ฉันไม่ว่าง ฉันมีธุระต้องไปที่นั่นที่นี่ วันนี้ฉันคงไม่ต้องไปโบสถ์ อธิษฐาน หรือ อ่านพระคัมภีร์ ฯลฯ" ... ซาตานรู้ว่า คุณจะหลงกลมันง่ายขึ้น ถ้ามันสามารถทำให้คุณคิดว่านั่นเป็นความคิดของคุณเอง ไม่ใช่ความคิดของมัน
ศัตรู ของมีเป้าหมายอะไรในการเยาะเย้ยคุณ ล่อลวงคุณ และยิงคำถามใส่คุณ จากหน้าต่างหรือประตูที่อยู่สองข้างทาง มันต้องการให้คุณเดินช้าลง หยุดเดิน นั่งลง หรือถ้าเป็นได้ ก็เลิกเดินทางไปหาพระเยซู มัน ต้องการให้คุณสงสัยความสามารถของคุณที่จะเชื่อ แต่ให้คุณจำไว้ว่า มันไม่มีฤทธิ์เดชหรืออำนาจใด ๆ เลย ที่จะขัดขวางคุณไม่ให้ก้าวเดินไปอย่างมั่นคงและมุ่งตรงไปหาพระเยซูคริสต์ และมันไม่มีทางหวนกลับมาเป็นเจ้าของชีวิตคุณได้อีก เพราะพระเยซูได้ทรงไถ่คุณไว้แล้ว และคุณอยู่ในพระองค์ตลอดกาล (1 เปโตร 1:18-19 -- "พวกท่านรู้ว่าพวกท่านได้รับการไถ่ออกจากการดำเนินชีวิตที่ไร้สาระ ซึ่งตกทอดมาจากบรรพบุรุษของพวกท่าน ไม่ใช่ด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายได้ เช่นเงินหรือทอง แต่ด้วยพระโลหิตล้ำค่าของพระคริสต์ ดังเลือดลูกแกะที่ไร้ตำหนิและไร้จุดด่างพร้อย")
แต่ถ้ามันสามารถทำให้คุณฟังความคิดที่มันปลูกฝังในจิตใจคุณ มันก็จะมีอิทธิพลต่อคุณได้ และถ้าคุณยอมให้มันมีอิทธิพลต่อคุณนานพอ โดยปล่อยให้มันล่อลวง ตำหนิกล่าวโทษ หลอกลวง มันก็จะหยุดความก้าวหน้าของคุณได้
ระดับ เสรีภาพซึ่งเราจะมีประสบการณ์ในฐานะคริสเตียนนั้น อยู่ระหว่างเส้นคะแนนมากไปหาน้อย สุดปลายข้างหนึ่งคืออัครทูตเปาโล ผู้มีชีวิตคริสเตียนและพันธกิจที่เราสมควรเอาเป็นแบบอย่าง ถึงแม้เขาจะต้องต่อสู้กับความบาปและมารซาตาน (โรม 7:15-25 / 2 โครินธ์ 12:7-9) และสุดปลายอีกข้างหนึ่งคือคนที่ถูกผีเข้า ซึ่งถูกวิญญาณชั่วควบคุมหมดทั้งชีวิต (มัทธิว 8:28-34) ไม่มีใครตกอยู่ภายใต้การควบคุมของซาตานในชั่วข้ามคืน แต่มันเป็นกระบวนการค่อยเป็นค่อยไปที่คนหนึ่งจะถูกมารล่อลวง และยอมต่ออิทธิพลอันแยบยลของมัน ผมขอประมาณว่า มีคริสเตียนส่วนหนึ่ง (ส่วนน้อย) ที่ดำเนินชีวิตอย่างอิสระและเกิดผลดีในพระคริสต์ ผู้เชื่อเหล่านี้รู้ว่า พวกเขากำลังเติบโต พวกเขาใคร่ครวญพระวจะของพระเจ้าอย่างมีเป้าหมายและพวกเขากำลังเกิดผล (น่าเสียดายเหลือเกินที่คริสเตียนอีกส่วนหนึ่งดำเนินชีวิตไม่เกิดผล)
การ มีชีวิตและการเป็นอิสระในพระคริสต์นั้น เป็นสิทธิโดยกำเนิดของลูกพระเจ้าทุกคน เราไม่จำเป็นต้องดำเนินชีวิตฝ่ายเนื้อหนัง แต่เราสามารถมีชีวิตเป็นอิสระได้ในพระเยซูคริสต์
วิ่งให้ชนะการแข่งขัน
... มี 3 วิธี ที่จะตอบสนองต่อเสียงเยาะเย้ย และวาจาเชือดเฉือนที่มาจากประตูและหน้าต่างชั้นสอง ระหว่างที่คุณดำเนินชีวิตประจำวันกับพระเยซูคริสต์
วิธี ที่ 1 ... คริสเตียนที่พ่ายแพ้ส่วนใหญ่ คือคนที่หันไปเชื่อฟังวิญญาณที่ล่อลวง (1 ทิโมธี 4:1) พวกเขาทำตัวอ่อนแอและยอมทำตามการล่อลวงและเชื่อทั้งคำหลอกลวงและคำตำหนิ กล่าวโทษ
คริสเตียนเหล่านี้พ่ายแพ้ ก็เพราะเขาถูกหลอกให้หลงเชื่อว่า...
- พระเจ้าไม่รักพวกเขา
- พวกเขาไม่มีทางเป็นคริสเตียนที่มีชัยชนะได้
- พวกเขาเป็นเหยื่อของอดีต และช่วยเหลือตนเองไม่ได้
แท้ จริงแล้ว พวกเขาสามาถลุกขึ้นได้ทันที และเริ่มเดินอีกครั้ง แต่พวกเขาได้เชื่อคำโกหก ดังนั้นพวกเขาจึงนั่งอยู่กลางเส้นทางอย่างพ่ายแพ้
วิธี ที่ 2 ... การตอบสนองแบบวิธีที่ 2 นี้ก็ไร้ประโยชน์พอ ๆ กัน ... คริสเตียนหลายคนพยายามโต้เถียงกับวิญญาณชั่วว่า "ฉันไม่ได้น่าเกลียดหรือโง่ ฉันเป็นคริสเตียนที่มีชัยชนะ ...ที่แกบอกนั้นไม่จริง ฉันปฏิเสธคำโกหกนั้น" พวกเขาคิดว่าพวกเขากำลังต่อสู้อย่างดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความคิดแง่ลบเหล่านั้นยังคงควบคุมพวกเขา และคอยกำหนดเรื่องที่พวกเขาจะคิด พวกเขายืนอยู่กลางทางนั้น พร้อมกับตะโกนใส่พวกวิญญาณชั่ว ทั้ง ๆ ที่เขาควรจะเดินหน้าต่อไป ทั้งนี้ไม่ว่าความคิดแง่ลบหรือความคิดจอมปลอมนั้น จะมาจากโลก จากเนื้อหนัง หรือจากวิญญาณชั่ว มันก็ไม่แตกต่างกัน
เรา ต้องน้อมนำความคิดทุกประการให้เข้าอยู่ภายใต้พระคริสต์ และเชื่อฟังพระองค์ ... พระเจ้าไม่ได้เรียกเรามาเพื่อขับไล่ความมืด แต่พระองค์ทรงเรียกเรามาเพื่อให้เปิดไฟ
วิธี ที่ 3 ... การตอบสนองแบบที่ 3 คือ เราชนะโลก เนื้อหนัง และมารซาตาน โดยการเลือกความจริง เราต้องไม่เชื่อวิญญาณชั่ว หรือสนทนากับมัน ... เราได้รับคำสั่งว่าไม่ต้องสนใจพวกมัน สิ่งที่เราควรกระทำต่อลูกศรแห่งการล่อลวง การกล่าวโทษ และการหลอกลวงทุกชนิดที่ยิงใส่เราก็คือ แค่ยกโล่กำบังแห่งความเชื่อปัดป้องการโจมตีนั้น แล้วก็เดินหน้าต่อไป เราเลือกความจริงแทนการโกหกทุกอย่าง และเมื่อเราทำเช่นนั้น เราก็จะเติบโตขึ้นทุกย่างก้าว
-----------
* คัดลอกจากหนังสือ "ผู้หักโซ่ตรวน" หน้า 145-148 เขียนโดย Neil T. Anderson